การป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง
Power System Protection
1. จุดมุ่งหมายของรายวิชา
รายวิชานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักศึกษา:
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและเทคนิคการป้องกันระบบไฟฟ้ากำลังในระดับแรงดันต่าง ๆ สามารถวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกันที่เหมาะสมกับลักษณะของระบบไฟฟ้า มีทักษะในการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์, เซอร์กิตเบรกเกอร์ และฟิวส์ ได้อย่างถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันระบบไฟฟ้าในการรักษาความมั่นคง ความปลอดภัย และความต่อเนื่องในการจ่ายไฟฟ้า สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ไขปัญหาและวางแผนการป้องกันระบบไฟฟ้าในสถานการณ์จริง
รายวิชานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักศึกษา:
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและเทคนิคการป้องกันระบบไฟฟ้ากำลังในระดับแรงดันต่าง ๆ สามารถวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกันที่เหมาะสมกับลักษณะของระบบไฟฟ้า มีทักษะในการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์, เซอร์กิตเบรกเกอร์ และฟิวส์ ได้อย่างถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันระบบไฟฟ้าในการรักษาความมั่นคง ความปลอดภัย และความต่อเนื่องในการจ่ายไฟฟ้า สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ไขปัญหาและวางแผนการป้องกันระบบไฟฟ้าในสถานการณ์จริง
2. วัตถุประสงค์ในการพัฒนาปรับปรุงรายวิชา
การปรับปรุงรายวิชา ENGEE188 มีวัตถุประสงค์เพื่อ:
เพิ่มความทันสมัยของเนื้อหา
ปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ในระบบป้องกันไฟฟ้า เช่น รีเลย์ดิจิทัล, การสื่อสารในระบบ SCADA และการป้องกันแบบ IEC 61850 ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ
เพิ่มกิจกรรมการทดลอง การจำลองสถานการณ์ และการวิเคราะห์กรณีศึกษา เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจการทำงานของระบบป้องกันในสถานการณ์จริง พัฒนาทักษะการวิเคราะห์และการออกแบบระบบป้องกัน
ส่งเสริมให้นักศึกษาสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติในระบบไฟฟ้า และเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันได้อย่างเหมาะสม ปรับปรุงรูปแบบการประเมินผลการเรียนรู้
ใช้การประเมินแบบหลากหลาย เช่น รายงานการทดลอง การนำเสนอ และการสอบวิเคราะห์ เพื่อให้ครอบคลุมทักษะทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ตอบสนองต่อข้อเสนอแนะจากนักศึกษาและผู้สอน
นำข้อเสนอแนะจากการประเมินรายวิชาในภาคเรียนก่อนหน้ามาใช้ในการปรับปรุงเนื้อหาและวิธีการสอน
การปรับปรุงรายวิชา ENGEE188 มีวัตถุประสงค์เพื่อ:
เพิ่มความทันสมัยของเนื้อหา
ปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ในระบบป้องกันไฟฟ้า เช่น รีเลย์ดิจิทัล, การสื่อสารในระบบ SCADA และการป้องกันแบบ IEC 61850 ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ
เพิ่มกิจกรรมการทดลอง การจำลองสถานการณ์ และการวิเคราะห์กรณีศึกษา เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจการทำงานของระบบป้องกันในสถานการณ์จริง พัฒนาทักษะการวิเคราะห์และการออกแบบระบบป้องกัน
ส่งเสริมให้นักศึกษาสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติในระบบไฟฟ้า และเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันได้อย่างเหมาะสม ปรับปรุงรูปแบบการประเมินผลการเรียนรู้
ใช้การประเมินแบบหลากหลาย เช่น รายงานการทดลอง การนำเสนอ และการสอบวิเคราะห์ เพื่อให้ครอบคลุมทักษะทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ตอบสนองต่อข้อเสนอแนะจากนักศึกษาและผู้สอน
นำข้อเสนอแนะจากการประเมินรายวิชาในภาคเรียนก่อนหน้ามาใช้ในการปรับปรุงเนื้อหาและวิธีการสอน
1. คำอธิบายรายวิชา
ศึกษาหลักการและเทคนิคการป้องกันระบบไฟฟ้ากำลังในระดับแรงดันสูง รวมถึงการวิเคราะห์ลักษณะของความผิดปกติในระบบไฟฟ้า การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ป้องกัน ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และระบบป้องกันแบบดิจิทัล การประยุกต์ใช้การป้องกันในระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การประเมินความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบป้องกัน รวมถึงการศึกษากรณีตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าจริง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะในการออกแบบระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
ศึกษาหลักการและเทคนิคการป้องกันระบบไฟฟ้ากำลังในระดับแรงดันสูง รวมถึงการวิเคราะห์ลักษณะของความผิดปกติในระบบไฟฟ้า การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ป้องกัน ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และระบบป้องกันแบบดิจิทัล การประยุกต์ใช้การป้องกันในระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การประเมินความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบป้องกัน รวมถึงการศึกษากรณีตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าจริง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะในการออกแบบระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
3. จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่อาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล
อาจารย์จัดเวลาให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล จำนวน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยนักศึกษาสามารถนัดหมายล่วงหน้าเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา การทำรายงาน การเตรียมสอบ หรือการวางแผนการเรียนในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
อาจารย์จัดเวลาให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล จำนวน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยนักศึกษาสามารถนัดหมายล่วงหน้าเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา การทำรายงาน การเตรียมสอบ หรือการวางแผนการเรียนในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
1.1 คุณธรรม จริยธรรมที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาในด้านคุณธรรมและจริยธรรมที่สำคัญต่อการเป็นวิศวกรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่:
ความซื่อสัตย์สุจริต: ไม่ลอกเลียนแบบงานผู้อื่น ไม่ทุจริตในการสอบหรือการทำรายงาน ความรับผิดชอบ: ตรงต่อเวลาในการส่งงานและเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ การเคารพสิทธิของผู้อื่น: รับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานและอาจารย์อย่างมีเหตุผล จริยธรรมทางวิชาชีพ: ตระหนักถึงผลกระทบของการออกแบบระบบไฟฟ้าต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีจริยธรรม: ร่วมมือกันในงานกลุ่มโดยไม่เอาเปรียบกัน
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาในด้านคุณธรรมและจริยธรรมที่สำคัญต่อการเป็นวิศวกรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่:
ความซื่อสัตย์สุจริต: ไม่ลอกเลียนแบบงานผู้อื่น ไม่ทุจริตในการสอบหรือการทำรายงาน ความรับผิดชอบ: ตรงต่อเวลาในการส่งงานและเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ การเคารพสิทธิของผู้อื่น: รับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานและอาจารย์อย่างมีเหตุผล จริยธรรมทางวิชาชีพ: ตระหนักถึงผลกระทบของการออกแบบระบบไฟฟ้าต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีจริยธรรม: ร่วมมือกันในงานกลุ่มโดยไม่เอาเปรียบกัน
1.2 วิธีการสอนเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม
การบรรยายและอภิปราย: สอดแทรกประเด็นด้านจริยธรรมทางวิชาชีพในเนื้อหาวิชา เช่น ความรับผิดชอบในการออกแบบระบบไฟฟ้าให้ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม กรณีศึกษา: ให้นักศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดในระบบป้องกันไฟฟ้า และผลกระทบต่อสังคม เพื่อสะท้อนถึงความสำคัญของจริยธรรมในการทำงาน การทำงานกลุ่ม: ส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีจริยธรรม เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น และแบ่งหน้าที่อย่างเป็นธรรม การประเมินพฤติกรรม: สังเกตพฤติกรรมของนักศึกษาในการส่งงาน ตรงต่อเวลา และความซื่อสัตย์ในการสอบหรือทำรายงาน การให้คำปรึกษา: เปิดโอกาสให้นักศึกษาพูดคุยเรื่องปัญหาส่วนตัวหรือการเรียน เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการพัฒนาตนเองอย่างมีคุณธรรม
การบรรยายและอภิปราย: สอดแทรกประเด็นด้านจริยธรรมทางวิชาชีพในเนื้อหาวิชา เช่น ความรับผิดชอบในการออกแบบระบบไฟฟ้าให้ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม กรณีศึกษา: ให้นักศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดในระบบป้องกันไฟฟ้า และผลกระทบต่อสังคม เพื่อสะท้อนถึงความสำคัญของจริยธรรมในการทำงาน การทำงานกลุ่ม: ส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีจริยธรรม เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น และแบ่งหน้าที่อย่างเป็นธรรม การประเมินพฤติกรรม: สังเกตพฤติกรรมของนักศึกษาในการส่งงาน ตรงต่อเวลา และความซื่อสัตย์ในการสอบหรือทำรายงาน การให้คำปรึกษา: เปิดโอกาสให้นักศึกษาพูดคุยเรื่องปัญหาส่วนตัวหรือการเรียน เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการพัฒนาตนเองอย่างมีคุณธรรม
1.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลด้านคุณธรรมและจริยธรรมของนักศึกษาในรายวิชานี้จะดำเนินการผ่านวิธีการต่าง ๆ ดังนี้:
การสังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน: เช่น ความตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบในการส่งงาน และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม การประเมินจากงานกลุ่มและรายงาน: ตรวจสอบการแบ่งหน้าที่ ความร่วมมือ และความซื่อสัตย์ในการจัดทำงาน การประเมินจากการอภิปรายกรณีศึกษา: วิเคราะห์ความคิดและทัศนคติของนักศึกษาเกี่ยวกับจริยธรรมทางวิชาชีพ การให้คะแนนจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเสริม: เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมภาคสนามหรือการสอนเสริมที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมในงานวิศวกรรม
การประเมินผลด้านคุณธรรมและจริยธรรมของนักศึกษาในรายวิชานี้จะดำเนินการผ่านวิธีการต่าง ๆ ดังนี้:
การสังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน: เช่น ความตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบในการส่งงาน และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม การประเมินจากงานกลุ่มและรายงาน: ตรวจสอบการแบ่งหน้าที่ ความร่วมมือ และความซื่อสัตย์ในการจัดทำงาน การประเมินจากการอภิปรายกรณีศึกษา: วิเคราะห์ความคิดและทัศนคติของนักศึกษาเกี่ยวกับจริยธรรมทางวิชาชีพ การให้คะแนนจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเสริม: เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมภาคสนามหรือการสอนเสริมที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมในงานวิศวกรรม
2.1 ความรู้ที่ต้องได้รับ
นักศึกษาควรได้รับความรู้พื้นฐานและความรู้เชิงลึกในด้านการป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง โดยเนื้อหาความรู้ที่ต้องได้รับประกอบด้วย:
หลักการทำงานของระบบป้องกันไฟฟ้า เช่น การตรวจจับความผิดปกติ การตัดวงจร และการประสานงานระหว่างอุปกรณ์ป้องกัน ประเภทของอุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และระบบป้องกันแบบดิจิทัล การวิเคราะห์ลักษณะของความผิดปกติในระบบไฟฟ้า เช่น การลัดวงจร การโหลดเกิน และการเกิดแรงดันย้อนกลับ การออกแบบและเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันให้เหมาะสมกับระบบ ทั้งในระบบส่งและระบบจำหน่าย มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ เช่น IEEE, IEC ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันระบบไฟฟ้า การประเมินความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบป้องกัน เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง
นักศึกษาควรได้รับความรู้พื้นฐานและความรู้เชิงลึกในด้านการป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง โดยเนื้อหาความรู้ที่ต้องได้รับประกอบด้วย:
หลักการทำงานของระบบป้องกันไฟฟ้า เช่น การตรวจจับความผิดปกติ การตัดวงจร และการประสานงานระหว่างอุปกรณ์ป้องกัน ประเภทของอุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และระบบป้องกันแบบดิจิทัล การวิเคราะห์ลักษณะของความผิดปกติในระบบไฟฟ้า เช่น การลัดวงจร การโหลดเกิน และการเกิดแรงดันย้อนกลับ การออกแบบและเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันให้เหมาะสมกับระบบ ทั้งในระบบส่งและระบบจำหน่าย มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ เช่น IEEE, IEC ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันระบบไฟฟ้า การประเมินความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบป้องกัน เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง
2.2 วิธีการสอน
เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ที่ครบถ้วนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง จะใช้วิธีการสอนหลากหลายรูปแบบ ได้แก่:
การบรรยายในชั้นเรียน: ถ่ายทอดเนื้อหาทางทฤษฎีเกี่ยวกับระบบป้องกันไฟฟ้า พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริง การสาธิตและฝึกปฏิบัติในห้องทดลอง: ให้นักศึกษาได้ทดลองใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ ฟิวส์ และเซอร์กิตเบรกเกอร์ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์ผิดปกติในระบบไฟฟ้า การใช้กรณีศึกษา: วิเคราะห์เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า เพื่อให้เข้าใจการทำงานของระบบป้องกันและผลกระทบที่เกิดขึ้น การเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิทัล: เช่น วิดีโอการทำงานของอุปกรณ์ป้องกัน โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า และบทความวิชาการจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ การทำงานกลุ่มและอภิปราย: ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการเรียนรู้ร่วมกันในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบระบบป้องกัน การศึกษานอกสถานที่: เช่น การดูงานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เพื่อให้นักศึกษาเห็นภาพการใช้งานจริงของระบบป้องกันในภาคสนาม
เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ที่ครบถ้วนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง จะใช้วิธีการสอนหลากหลายรูปแบบ ได้แก่:
การบรรยายในชั้นเรียน: ถ่ายทอดเนื้อหาทางทฤษฎีเกี่ยวกับระบบป้องกันไฟฟ้า พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริง การสาธิตและฝึกปฏิบัติในห้องทดลอง: ให้นักศึกษาได้ทดลองใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ ฟิวส์ และเซอร์กิตเบรกเกอร์ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์ผิดปกติในระบบไฟฟ้า การใช้กรณีศึกษา: วิเคราะห์เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า เพื่อให้เข้าใจการทำงานของระบบป้องกันและผลกระทบที่เกิดขึ้น การเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิทัล: เช่น วิดีโอการทำงานของอุปกรณ์ป้องกัน โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า และบทความวิชาการจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ การทำงานกลุ่มและอภิปราย: ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการเรียนรู้ร่วมกันในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบระบบป้องกัน การศึกษานอกสถานที่: เช่น การดูงานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เพื่อให้นักศึกษาเห็นภาพการใช้งานจริงของระบบป้องกันในภาคสนาม
2.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลด้านความรู้ของนักศึกษาในรายวิชานี้จะใช้วิธีการหลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมทั้งความเข้าใจเชิงทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ ได้แก่:
การสอบกลางภาคและปลายภาค เพื่อวัดความเข้าใจในหลักการป้องกันระบบไฟฟ้า การวิเคราะห์ปัญหา และการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม การทำแบบฝึกหัดและรายงาน ให้นักศึกษาทำแบบฝึกหัดที่เน้นการวิเคราะห์และการคำนวณ รวมถึงจัดทำรายงานเกี่ยวกับการออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง การนำเสนอผลงานหรือโครงงานขนาดเล็ก ประเมินความสามารถในการสื่อสารทางวิชาการ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา การประเมินจากการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนและกิจกรรมภาคสนาม เช่น การอภิปรายกรณีศึกษา การตอบคำถาม และการเข้าร่วมดูงาน
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณ:
สอบกลางภาคและปลายภาค: 50%
การประเมินผลด้านความรู้ของนักศึกษาในรายวิชานี้จะใช้วิธีการหลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมทั้งความเข้าใจเชิงทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ ได้แก่:
การสอบกลางภาคและปลายภาค เพื่อวัดความเข้าใจในหลักการป้องกันระบบไฟฟ้า การวิเคราะห์ปัญหา และการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม การทำแบบฝึกหัดและรายงาน ให้นักศึกษาทำแบบฝึกหัดที่เน้นการวิเคราะห์และการคำนวณ รวมถึงจัดทำรายงานเกี่ยวกับการออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง การนำเสนอผลงานหรือโครงงานขนาดเล็ก ประเมินความสามารถในการสื่อสารทางวิชาการ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา การประเมินจากการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนและกิจกรรมภาคสนาม เช่น การอภิปรายกรณีศึกษา การตอบคำถาม และการเข้าร่วมดูงาน
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณ:
สอบกลางภาคและปลายภาค: 50%
3.1 ทักษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะทางปัญญาเพื่อให้สามารถคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาทางวิศวกรรมไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทักษะที่ต้องพัฒนา ได้แก่:
การคิดวิเคราะห์เชิงระบบ วิเคราะห์โครงสร้างและการทำงานของระบบไฟฟ้าเพื่อระบุจุดเสี่ยงและออกแบบระบบป้องกันที่เหมาะสม การแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ใช้หลักการทางวิศวกรรมและข้อมูลเชิงเทคนิคในการตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ป้องกันและวิธีการป้องกันที่เหมาะสม การเชื่อมโยงความรู้จากหลายสาขา เช่น การนำความรู้ด้านวงจรไฟฟ้า การควบคุม และการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบระบบป้องกัน การคิดเชิงวิพากษ์ ประเมินข้อดีข้อเสียของวิธีการป้องกันแต่ละแบบ และเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์จริง การวิเคราะห์ข้อมูลและการจำลองสถานการณ์ ใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้าเพื่อทดสอบการทำงานของระบบป้องกันในสถานการณ์ต่าง ๆ
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะทางปัญญาเพื่อให้สามารถคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาทางวิศวกรรมไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทักษะที่ต้องพัฒนา ได้แก่:
การคิดวิเคราะห์เชิงระบบ วิเคราะห์โครงสร้างและการทำงานของระบบไฟฟ้าเพื่อระบุจุดเสี่ยงและออกแบบระบบป้องกันที่เหมาะสม การแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ใช้หลักการทางวิศวกรรมและข้อมูลเชิงเทคนิคในการตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ป้องกันและวิธีการป้องกันที่เหมาะสม การเชื่อมโยงความรู้จากหลายสาขา เช่น การนำความรู้ด้านวงจรไฟฟ้า การควบคุม และการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบระบบป้องกัน การคิดเชิงวิพากษ์ ประเมินข้อดีข้อเสียของวิธีการป้องกันแต่ละแบบ และเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์จริง การวิเคราะห์ข้อมูลและการจำลองสถานการณ์ ใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้าเพื่อทดสอบการทำงานของระบบป้องกันในสถานการณ์ต่าง ๆ
3.2 วิธีการสอน
เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล จะใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ได้แก่:
การสอนแบบเน้นการคิดวิเคราะห์ (Analytical Teaching) กระตุ้นให้นักศึกษาตั้งคำถามและวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ในระบบไฟฟ้า เช่น การเกิด short circuit หรือ overload การใช้กรณีศึกษา (Case-Based Learning) ให้นักศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า เช่น ความล้มเหลวของระบบป้องกัน และเสนอแนวทางแก้ไข การเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-Based Learning) ให้นักศึกษาทำโครงงานออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง เพื่อฝึกการวางแผนและการตัดสินใจ การใช้โปรแกรมจำลอง (Simulation Tools) เช่น ETAP, MATLAB/Simulink หรือ PowerWorld เพื่อให้เห็นผลของการตั้งค่าระบบป้องกันในสถานการณ์ต่าง ๆ การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการคิดเชิงวิพากษ์ร่วมกันในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและวิเคราะห์ระบบ
เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล จะใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ได้แก่:
การสอนแบบเน้นการคิดวิเคราะห์ (Analytical Teaching) กระตุ้นให้นักศึกษาตั้งคำถามและวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ในระบบไฟฟ้า เช่น การเกิด short circuit หรือ overload การใช้กรณีศึกษา (Case-Based Learning) ให้นักศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า เช่น ความล้มเหลวของระบบป้องกัน และเสนอแนวทางแก้ไข การเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-Based Learning) ให้นักศึกษาทำโครงงานออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง เพื่อฝึกการวางแผนและการตัดสินใจ การใช้โปรแกรมจำลอง (Simulation Tools) เช่น ETAP, MATLAB/Simulink หรือ PowerWorld เพื่อให้เห็นผลของการตั้งค่าระบบป้องกันในสถานการณ์ต่าง ๆ การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการคิดเชิงวิพากษ์ร่วมกันในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและวิเคราะห์ระบบ
3.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลทักษะทางปัญญาจะเน้นการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง โดยใช้วิธีการดังนี้:
การสอบวิเคราะห์เชิงสถานการณ์ เช่น ข้อสอบที่ให้นักศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์ผิดปกติในระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการป้องกันที่เหมาะสม การทำโครงงานหรือรายงานวิเคราะห์ระบบป้องกัน ให้นักศึกษาออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง พร้อมอธิบายเหตุผลในการเลือกอุปกรณ์และวิธีการ การนำเสนอผลงาน ประเมินความสามารถในการสื่อสารแนวคิดทางวิศวกรรม และการตอบคำถามเชิงวิเคราะห์จากอาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้น การใช้โปรแกรมจำลองเพื่อทดสอบแนวคิด เช่น การตั้งค่าระบบป้องกันในซอฟต์แวร์ และวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้ การประเมินจากการอภิปรายกลุ่ม สังเกตการมีส่วนร่วม การตั้งคำถาม และการเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์ในกิจกรรมกลุ่ม
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะทางปัญญา: ประมาณ 30–40% ของคะแนนรวมทั้งหมด
การประเมินผลทักษะทางปัญญาจะเน้นการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง โดยใช้วิธีการดังนี้:
การสอบวิเคราะห์เชิงสถานการณ์ เช่น ข้อสอบที่ให้นักศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์ผิดปกติในระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการป้องกันที่เหมาะสม การทำโครงงานหรือรายงานวิเคราะห์ระบบป้องกัน ให้นักศึกษาออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง พร้อมอธิบายเหตุผลในการเลือกอุปกรณ์และวิธีการ การนำเสนอผลงาน ประเมินความสามารถในการสื่อสารแนวคิดทางวิศวกรรม และการตอบคำถามเชิงวิเคราะห์จากอาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้น การใช้โปรแกรมจำลองเพื่อทดสอบแนวคิด เช่น การตั้งค่าระบบป้องกันในซอฟต์แวร์ และวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้ การประเมินจากการอภิปรายกลุ่ม สังเกตการมีส่วนร่วม การตั้งคำถาม และการเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์ในกิจกรรมกลุ่ม
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะทางปัญญา: ประมาณ 30–40% ของคะแนนรวมทั้งหมด
4.1 ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานในสภาพแวดล้อมวิศวกรรมที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทักษะที่ควรพัฒนา ได้แก่:
การทำงานเป็นทีม สามารถร่วมมือกับผู้อื่นในการทำงานกลุ่ม แบ่งหน้าที่ รับฟังความคิดเห็น และแก้ไขปัญหาร่วมกัน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตรงต่อเวลาในการส่งงาน รับผิดชอบในบทบาทที่ได้รับมอบหมาย และมีความตั้งใจในการเรียนรู้ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอธิบายแนวคิดทางวิศวกรรมให้ผู้อื่นเข้าใจ ทั้งในการพูดและการเขียน การเคารพความคิดเห็นและวัฒนธรรมที่หลากหลาย เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงผลกระทบของการออกแบบระบบไฟฟ้าต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานในสภาพแวดล้อมวิศวกรรมที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทักษะที่ควรพัฒนา ได้แก่:
การทำงานเป็นทีม สามารถร่วมมือกับผู้อื่นในการทำงานกลุ่ม แบ่งหน้าที่ รับฟังความคิดเห็น และแก้ไขปัญหาร่วมกัน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตรงต่อเวลาในการส่งงาน รับผิดชอบในบทบาทที่ได้รับมอบหมาย และมีความตั้งใจในการเรียนรู้ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอธิบายแนวคิดทางวิศวกรรมให้ผู้อื่นเข้าใจ ทั้งในการพูดและการเขียน การเคารพความคิดเห็นและวัฒนธรรมที่หลากหลาย เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงผลกระทบของการออกแบบระบบไฟฟ้าต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม
4.2 วิธีการสอน
เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จะใช้วิธีการสอนดังต่อไปนี้:
การทำงานกลุ่ม (Group Work) ให้นักศึกษาทำกิจกรรมหรือโครงงานร่วมกัน โดยแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน เพื่อฝึกการสื่อสาร การประสานงาน และความรับผิดชอบร่วมกัน การอภิปรายในชั้นเรียน (Class Discussion) เปิดโอกาสให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมทางวิศวกรรมและการทำงานเป็นทีม การจำลองสถานการณ์ (Role Play / Simulation) เช่น การจำลองการประชุมทีมวิศวกรเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบไฟฟ้า เพื่อฝึกการสื่อสารและการตัดสินใจร่วมกัน การสอนผ่านกรณีศึกษา (Case Study) ให้นักศึกษาวิเคราะห์กรณีที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันและความรับผิดชอบ เช่น การจัดการเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องในระบบส่ง การให้ข้อเสนอแนะรายบุคคลและกลุ่ม อาจารย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานร่วมกัน และความรับผิดชอบในการเรียน เพื่อให้นักศึกษาปรับปรุงตนเอง
เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จะใช้วิธีการสอนดังต่อไปนี้:
การทำงานกลุ่ม (Group Work) ให้นักศึกษาทำกิจกรรมหรือโครงงานร่วมกัน โดยแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน เพื่อฝึกการสื่อสาร การประสานงาน และความรับผิดชอบร่วมกัน การอภิปรายในชั้นเรียน (Class Discussion) เปิดโอกาสให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมทางวิศวกรรมและการทำงานเป็นทีม การจำลองสถานการณ์ (Role Play / Simulation) เช่น การจำลองการประชุมทีมวิศวกรเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบไฟฟ้า เพื่อฝึกการสื่อสารและการตัดสินใจร่วมกัน การสอนผ่านกรณีศึกษา (Case Study) ให้นักศึกษาวิเคราะห์กรณีที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันและความรับผิดชอบ เช่น การจัดการเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องในระบบส่ง การให้ข้อเสนอแนะรายบุคคลและกลุ่ม อาจารย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานร่วมกัน และความรับผิดชอบในการเรียน เพื่อให้นักศึกษาปรับปรุงตนเอง
4.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบจะดำเนินการผ่านกิจกรรมที่สะท้อนพฤติกรรมและการทำงานร่วมกันของนักศึกษา โดยใช้วิธีการดังนี้:
การสังเกตพฤติกรรมในการทำงานกลุ่ม ประเมินความร่วมมือ การแบ่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ และการสื่อสารภายในกลุ่ม การประเมินจากการนำเสนอผลงานกลุ่ม พิจารณาการมีส่วนร่วมของสมาชิกแต่ละคน ความสามารถในการอธิบายงาน และการตอบคำถามร่วมกัน การให้คะแนนจากการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน เช่น การแสดงความคิดเห็น การตั้งคำถาม และการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น การประเมินจากการส่งงานตรงเวลาและครบถ้วน สะท้อนถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการเรียนและการทำงาน การประเมินตนเองและเพื่อนร่วมกลุ่ม (Peer & Self Evaluation) ให้นักศึกษาประเมินตนเองและสมาชิกในกลุ่ม เพื่อสะท้อนมุมมองด้านความร่วมมือและความรับผิดชอบ
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะด้านนี้: ประมาณ 10–15% ของคะแนนรวมทั้งหมด
การประเมินผลทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบจะดำเนินการผ่านกิจกรรมที่สะท้อนพฤติกรรมและการทำงานร่วมกันของนักศึกษา โดยใช้วิธีการดังนี้:
การสังเกตพฤติกรรมในการทำงานกลุ่ม ประเมินความร่วมมือ การแบ่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ และการสื่อสารภายในกลุ่ม การประเมินจากการนำเสนอผลงานกลุ่ม พิจารณาการมีส่วนร่วมของสมาชิกแต่ละคน ความสามารถในการอธิบายงาน และการตอบคำถามร่วมกัน การให้คะแนนจากการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน เช่น การแสดงความคิดเห็น การตั้งคำถาม และการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น การประเมินจากการส่งงานตรงเวลาและครบถ้วน สะท้อนถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการเรียนและการทำงาน การประเมินตนเองและเพื่อนร่วมกลุ่ม (Peer & Self Evaluation) ให้นักศึกษาประเมินตนเองและสมาชิกในกลุ่ม เพื่อสะท้อนมุมมองด้านความร่วมมือและความรับผิดชอบ
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะด้านนี้: ประมาณ 10–15% ของคะแนนรวมทั้งหมด
5.1 ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะในด้านต่อไปนี้ เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกันไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การคำนวณค่าพารามิเตอร์ทางไฟฟ้า เช่น กระแสลัดวงจร แรงดันตกคร่อม และค่าการตั้งรีเลย์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองหรือการจำลองระบบ การใช้สูตรและหลักการทางคณิตศาสตร์และวิศวกรรมไฟฟ้าในการแก้ปัญหา
ทักษะการสื่อสาร
การเขียนรายงานทางวิชาการอย่างชัดเจนและเป็นระบบ การนำเสนอผลงานหรือโครงงานต่ออาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น การสื่อสารแนวคิดทางเทคนิคให้เข้าใจง่าย ทั้งในรูปแบบการพูดและการเขียน
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า เช่น ETAP, MATLAB/Simulink, PowerWorld การค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งออนไลน์ เช่น IEEE Xplore, Engineering Journals การใช้เครื่องมือดิจิทัลในการจัดทำรายงานและนำเสนอ เช่น Microsoft Word, Excel, PowerPoint
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะในด้านต่อไปนี้ เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกันไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การคำนวณค่าพารามิเตอร์ทางไฟฟ้า เช่น กระแสลัดวงจร แรงดันตกคร่อม และค่าการตั้งรีเลย์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองหรือการจำลองระบบ การใช้สูตรและหลักการทางคณิตศาสตร์และวิศวกรรมไฟฟ้าในการแก้ปัญหา
ทักษะการสื่อสาร
การเขียนรายงานทางวิชาการอย่างชัดเจนและเป็นระบบ การนำเสนอผลงานหรือโครงงานต่ออาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น การสื่อสารแนวคิดทางเทคนิคให้เข้าใจง่าย ทั้งในรูปแบบการพูดและการเขียน
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า เช่น ETAP, MATLAB/Simulink, PowerWorld การค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งออนไลน์ เช่น IEEE Xplore, Engineering Journals การใช้เครื่องมือดิจิทัลในการจัดทำรายงานและนำเสนอ เช่น Microsoft Word, Excel, PowerPoint
5.2 วิธีการสอน
เพื่อพัฒนาทักษะทั้งสามด้านอย่างสมดุล จะใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ได้แก่:
ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การสอนผ่านโจทย์คำนวณ เช่น การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ การคำนวณกระแสลัดวงจร และการวิเคราะห์โหลด การใช้แบบฝึกหัดและกรณีศึกษา เพื่อฝึกการคิดเชิงตัวเลขและการประเมินค่าทางวิศวกรรม
ทักษะการสื่อสาร
การนำเสนอรายงานและโครงงาน ทั้งในรูปแบบการเขียนและการพูด เพื่อฝึกการสื่อสารทางวิชาการ การอภิปรายกลุ่ม เพื่อฝึกการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการอธิบายแนวคิดต่อผู้อื่น
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า เช่น ETAP, MATLAB/Simulink เพื่อวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกัน การค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งออนไลน์ เช่น IEEE Xplore, Engineering Journals เพื่อเสริมความรู้ การใช้เครื่องมือดิจิทัลในการจัดทำงาน เช่น Microsoft Word, Excel, PowerPoint และการใช้งานระบบ LMS
เพื่อพัฒนาทักษะทั้งสามด้านอย่างสมดุล จะใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ได้แก่:
ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การสอนผ่านโจทย์คำนวณ เช่น การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ การคำนวณกระแสลัดวงจร และการวิเคราะห์โหลด การใช้แบบฝึกหัดและกรณีศึกษา เพื่อฝึกการคิดเชิงตัวเลขและการประเมินค่าทางวิศวกรรม
ทักษะการสื่อสาร
การนำเสนอรายงานและโครงงาน ทั้งในรูปแบบการเขียนและการพูด เพื่อฝึกการสื่อสารทางวิชาการ การอภิปรายกลุ่ม เพื่อฝึกการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการอธิบายแนวคิดต่อผู้อื่น
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า เช่น ETAP, MATLAB/Simulink เพื่อวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกัน การค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งออนไลน์ เช่น IEEE Xplore, Engineering Journals เพื่อเสริมความรู้ การใช้เครื่องมือดิจิทัลในการจัดทำงาน เช่น Microsoft Word, Excel, PowerPoint และการใช้งานระบบ LMS
5.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลจะเน้นวัดความสามารถของนักศึกษาในการใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม การคิดวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตัวเลข และการสื่อสารแนวคิดทางวิชาการ โดยใช้วิธีการดังนี้:
ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การสอบที่มีโจทย์คำนวณ เช่น การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ การวิเคราะห์กระแสลัดวงจร และการคำนวณค่าพารามิเตอร์ในระบบป้องกัน การประเมินจากแบบฝึกหัดและรายงานวิเคราะห์ ที่แสดงการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และวิศวกรรมไฟฟ้า
ทักษะการสื่อสาร
การนำเสนอรายงานหรือโครงงาน โดยประเมินจากความชัดเจนของเนื้อหา การจัดเรียงข้อมูล และการตอบคำถาม การเขียนรายงานทางวิชาการ ที่มีโครงสร้างครบถ้วนและใช้ภาษาทางวิชาชีพอย่างเหมาะสม
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้าในการทำโครงงาน เช่น การตั้งค่าระบบป้องกันและวิเคราะห์ผลการจำลอง การค้นคว้าและอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ เช่น IEEE, Engineering Journals เพื่อประกอบการวิเคราะห์
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะด้านนี้: ประมาณ 20–30% ของคะแนนรวมทั้งหมด
การประเมินผลจะเน้นวัดความสามารถของนักศึกษาในการใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม การคิดวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตัวเลข และการสื่อสารแนวคิดทางวิชาการ โดยใช้วิธีการดังนี้:
ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การสอบที่มีโจทย์คำนวณ เช่น การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ การวิเคราะห์กระแสลัดวงจร และการคำนวณค่าพารามิเตอร์ในระบบป้องกัน การประเมินจากแบบฝึกหัดและรายงานวิเคราะห์ ที่แสดงการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และวิศวกรรมไฟฟ้า
ทักษะการสื่อสาร
การนำเสนอรายงานหรือโครงงาน โดยประเมินจากความชัดเจนของเนื้อหา การจัดเรียงข้อมูล และการตอบคำถาม การเขียนรายงานทางวิชาการ ที่มีโครงสร้างครบถ้วนและใช้ภาษาทางวิชาชีพอย่างเหมาะสม
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้าในการทำโครงงาน เช่น การตั้งค่าระบบป้องกันและวิเคราะห์ผลการจำลอง การค้นคว้าและอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ เช่น IEEE, Engineering Journals เพื่อประกอบการวิเคราะห์
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะด้านนี้: ประมาณ 20–30% ของคะแนนรวมทั้งหมด
6.1 ผลการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย
นักศึกษาควรมีผลการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยที่สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า โดยผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ได้แก่:
สามารถใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง เช่น รีเลย์ ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และอุปกรณ์ตรวจจับความผิดปกติ สามารถติดตั้งและทดสอบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง โดยใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในห้องทดลองอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้าในการวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกัน เช่น การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ การจำลองเหตุการณ์ลัดวงจร และการประเมินผลการทำงานของระบบ สามารถปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นในสถานการณ์จริงหรือจำลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทำงานกลุ่มในห้องทดลองหรือภาคสนาม สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานกับระบบไฟฟ้าแรงสูง เช่น การใช้เครื่องมือป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และการปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานอย่างเคร่งครัด
นักศึกษาควรมีผลการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยที่สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า โดยผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ได้แก่:
สามารถใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง เช่น รีเลย์ ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และอุปกรณ์ตรวจจับความผิดปกติ สามารถติดตั้งและทดสอบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง โดยใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในห้องทดลองอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้าในการวิเคราะห์และออกแบบระบบป้องกัน เช่น การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ การจำลองเหตุการณ์ลัดวงจร และการประเมินผลการทำงานของระบบ สามารถปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นในสถานการณ์จริงหรือจำลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทำงานกลุ่มในห้องทดลองหรือภาคสนาม สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานกับระบบไฟฟ้าแรงสูง เช่น การใช้เครื่องมือป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และการปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานอย่างเคร่งครัด
6.2 วิธีการสอน
เพื่อพัฒนาทักษะพิสัยที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานจริงในระบบไฟฟ้ากำลัง จะใช้วิธีการสอนที่เน้นการลงมือปฏิบัติและการเรียนรู้จากประสบการณ์ ดังนี้:
การฝึกปฏิบัติในห้องทดลอง ให้นักศึกษาได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และอุปกรณ์ตรวจจับความผิดปกติ พร้อมทั้งเรียนรู้การตั้งค่าและการทดสอบระบบ การจำลองสถานการณ์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น การใช้ ETAP, MATLAB/Simulink หรือ PowerWorld เพื่อจำลองเหตุการณ์ผิดปกติในระบบไฟฟ้า และวิเคราะห์การทำงานของระบบป้องกัน การเรียนรู้จากการดูงานภาคสนาม เช่น การเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หรือสถานีไฟฟ้าย่อย เพื่อให้นักศึกษาเห็นภาพการทำงานจริงของระบบป้องกัน และเข้าใจการบำรุงรักษาอุปกรณ์ การสาธิตโดยอาจารย์หรือวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้เทคนิคการใช้งานอุปกรณ์และการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์จริง การทำโครงงานหรือกิจกรรมกลุ่มที่เน้นการลงมือปฏิบัติ เช่น การออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง และการนำเสนอผลการทดลอง
เพื่อพัฒนาทักษะพิสัยที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานจริงในระบบไฟฟ้ากำลัง จะใช้วิธีการสอนที่เน้นการลงมือปฏิบัติและการเรียนรู้จากประสบการณ์ ดังนี้:
การฝึกปฏิบัติในห้องทดลอง ให้นักศึกษาได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์ป้องกัน เช่น รีเลย์ ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ และอุปกรณ์ตรวจจับความผิดปกติ พร้อมทั้งเรียนรู้การตั้งค่าและการทดสอบระบบ การจำลองสถานการณ์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น การใช้ ETAP, MATLAB/Simulink หรือ PowerWorld เพื่อจำลองเหตุการณ์ผิดปกติในระบบไฟฟ้า และวิเคราะห์การทำงานของระบบป้องกัน การเรียนรู้จากการดูงานภาคสนาม เช่น การเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หรือสถานีไฟฟ้าย่อย เพื่อให้นักศึกษาเห็นภาพการทำงานจริงของระบบป้องกัน และเข้าใจการบำรุงรักษาอุปกรณ์ การสาธิตโดยอาจารย์หรือวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้เทคนิคการใช้งานอุปกรณ์และการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์จริง การทำโครงงานหรือกิจกรรมกลุ่มที่เน้นการลงมือปฏิบัติ เช่น การออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง และการนำเสนอผลการทดลอง
6.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลด้านทักษะพิสัยจะเน้นการวัดความสามารถในการปฏิบัติงานจริง การใช้เครื่องมือ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จำลอง โดยใช้วิธีการดังนี้:
การประเมินจากการฝึกปฏิบัติในห้องทดลอง เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ และการทดสอบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง การประเมินจากการใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า เช่น การตั้งค่าระบบป้องกันใน ETAP หรือ MATLAB/Simulink และการวิเคราะห์ผลการจำลอง การประเมินจากการดูงานภาคสนาม เช่น การสังเกตพฤติกรรม ความตั้งใจ และการมีส่วนร่วมในการศึกษาระบบป้องกันในสถานที่จริง การประเมินจากโครงงานหรือกิจกรรมกลุ่มที่เน้นการปฏิบัติ เช่น การออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง พร้อมการนำเสนอผลการทดลองและการวิเคราะห์ การประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เช่น การใช้ PPE อย่างถูกต้อง การปฏิบัติตามขั้นตอน และการทำงานอย่างปลอดภัย
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะพิสัย: ประมาณ 20–30% ของคะแนนรวมทั้งหมด
การประเมินผลด้านทักษะพิสัยจะเน้นการวัดความสามารถในการปฏิบัติงานจริง การใช้เครื่องมือ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จำลอง โดยใช้วิธีการดังนี้:
การประเมินจากการฝึกปฏิบัติในห้องทดลอง เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน การตั้งค่าการทำงานของรีเลย์ และการทดสอบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง การประเมินจากการใช้โปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า เช่น การตั้งค่าระบบป้องกันใน ETAP หรือ MATLAB/Simulink และการวิเคราะห์ผลการจำลอง การประเมินจากการดูงานภาคสนาม เช่น การสังเกตพฤติกรรม ความตั้งใจ และการมีส่วนร่วมในการศึกษาระบบป้องกันในสถานที่จริง การประเมินจากโครงงานหรือกิจกรรมกลุ่มที่เน้นการปฏิบัติ เช่น การออกแบบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลอง พร้อมการนำเสนอผลการทดลองและการวิเคราะห์ การประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เช่น การใช้ PPE อย่างถูกต้อง การปฏิบัติตามขั้นตอน และการทำงานอย่างปลอดภัย
สัดส่วนคะแนนโดยประมาณสำหรับทักษะพิสัย: ประมาณ 20–30% ของคะแนนรวมทั้งหมด
| กิจกรรมที่ | ผลการเรียนรู้ * | วิธีการประเมินผลนักศึกษา | สัปดาห์ที่ประเมิน | สัดส่วนของการประเมินผล |
|---|---|---|---|---|
| 1 | ✅ แผนการประเมินผลการเรียนรู้ สัปดาห์กิจกรรมการเรียนรู้ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังวิธีการประเมินผล1–4บรรยาย + วิเคราะห์กรณีศึกษา + คำนวณเข้าใจหลักการป้องกันอุปกรณ์พื้นฐาน (หม้อแปลง, สายส่ง)แบบฝึกหัด, ใบงาน, การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน5–8จำลองระบบ + ออกแบบการตั้งค่ารีเลย์สามารถออกแบบระบบป้องกันเบื้องต้นได้การบ้าน, แบบจำลอง, การนำเสนอกลุ่ม9–11วิเคราะห์ระบบจริง + ทดสอบการทำงานวิเคราะห์และทดสอบระบบป้องกันในสถานการณ์จำลองรายงานกลุ่ม, แบบฝึกหัด, Quiz12–14โครงงานกลุ่ม + นำเสนอออกแบบระบบป้องกันแบบองค์รวมได้การนำเสนอ, รายงานโครงงาน, การประเมินกลุ่ม15Reflection + ประเมินรายวิชาสรุปความรู้และประเมินตนเองแบบฟอร์มสะท้อนความรู้, แบบประเมินรายวิชา16สอบปลายภาคประเมินผลสัมฤทธิ์รวมของรายวิชาข้อสอบปลายภาค (ปรนัย/อัตนัย/วิเคราะห์) | ✅ วิธีประเมินผลนักศึกษา รายการประเมินสัดส่วนคะแนนรายละเอียด1. การเข้าร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน10%การมีส่วนร่วมในการอภิปราย การทำกิจกรรมกลุ่ม และการตอบคำถาม2. แบบฝึกหัดและใบงานรายสัปดาห์20%การส่งงานตรงเวลา ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของเนื้อหา3. โครงงานกลุ่ม (ออกแบบระบบป้องกัน)25%ความคิดสร้างสรรค์ ความถูกต้องทางวิศวกรรม การจำลองระบบ และการนำเสนอ4. แบบทดสอบกลางภาค (Midterm)15%ครอบคลุมเนื้อหาสัปดาห์ที่ 1–75. แบบทดสอบปลายภาค (Final Exam)25%ครอบคลุมเนื้อหาทั้งรายวิชา เน้นการวิเคราะห์และการประยุกต์ใช้6. การสะท้อนความรู้ (Reflection)5%การเขียนสรุปความเข้าใจและการนำไปใช้จริง | ✅ สัปดาห์ที่มีการประเมินผลการเรียนรู้ สัปดาห์ประเภทการประเมินรายละเอียดสัปดาห์ที่ 4–8การประเมินระหว่างเรียนแบบฝึกหัดรายสัปดาห์, ใบงาน, การคำนวณ, การจำลองระบบสัปดาห์ที่ 9–11การประเ | เป็นการประเมินผลในบริบทใด เช่น: รายวิชา ENGEE188 การป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง โครงการอบรม / วิจัย / พัฒนาอาคาร การประเมินนักศึกษา / บุคลากร / งานอื่น ๆ ต้องการรูปแบบสัดส่วน เช่น กี่เปอร์ |
6.1 หนังสือ ตำรา และเอกสารประกอบการสอนหลัก
ลำดับ รายการ ผู้แต่ง / แหล่งที่มา ปีที่พิมพ์ หมายเหตุ 1 Power System Protection Paul M. Anderson 1999 ตำราหลักระดับสากล 2 Protective Relaying: Principles and Applications J. Lewis Blackburn, Thomas J. Domin 2014 (4th Ed.) ใช้ประกอบการสอนเชิงลึก 3 การป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง ผศ. ดร. สมชาย โพธิ์ขี 2562 ตำราภาษาไทย ใช้ในระดับปริญญาตรี 4 Lecture Notes & Slide ENGEE188 อ.วัฒนา มาคำ ปรับปรุงล่าสุด 2568 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 5 มาตรฐานการป้องกันระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) - ใช้เป็นกรณีศึกษาและแนวทางปฏิบัติจริง 6 คู่มือโปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า (ETAP/PSCAD) แหล่งออนไลน์ / เอกสารอบรม -
ลำดับ รายการ ผู้แต่ง / แหล่งที่มา ปีที่พิมพ์ หมายเหตุ 1 Power System Protection Paul M. Anderson 1999 ตำราหลักระดับสากล 2 Protective Relaying: Principles and Applications J. Lewis Blackburn, Thomas J. Domin 2014 (4th Ed.) ใช้ประกอบการสอนเชิงลึก 3 การป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง ผศ. ดร. สมชาย โพธิ์ขี 2562 ตำราภาษาไทย ใช้ในระดับปริญญาตรี 4 Lecture Notes & Slide ENGEE188 อ.วัฒนา มาคำ ปรับปรุงล่าสุด 2568 เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 5 มาตรฐานการป้องกันระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) - ใช้เป็นกรณีศึกษาและแนวทางปฏิบัติจริง 6 คู่มือโปรแกรมจำลองระบบไฟฟ้า (ETAP/PSCAD) แหล่งออนไลน์ / เอกสารอบรม -
7.1 กลยุทธ์การประเมินประสิทธิผลของรายวิชาโดยนักศึกษา
เพื่อให้สามารถประเมินความเหมาะสมของเนื้อหา วิธีการสอน และการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายวิชานี้ใช้กลยุทธ์การประเมินโดยนักศึกษาดังนี้:
กลยุทธ์ รายละเอียด 1. แบบสอบถามประเมินรายวิชา จัดทำแบบสอบถามออนไลน์หรือกระดาษ เพื่อให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหา วิธีการสอน การใช้สื่อ และความพึงพอใจต่อรายวิชา 2. การสะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflection) ให้นักศึกษาเขียนสะท้อนความเข้าใจ ความรู้ที่ได้รับ และข้อเสนอแนะต่อรายวิชาในสัปดาห์สุดท้าย 3. การอภิปรายในชั้นเรียน เปิดโอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นแบบเปิดในช่วงท้ายภาคการศึกษา เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะโดยตรง 4. การวิเคราะห์ผลการเรียน วิเคราะห์ผลการเรียนของนักศึกษาเพื่อประเมินความเหมาะสมของระดับความยากของเนื้อหาและการวัดผล 5. การเปรียบเทียบผลการเรียนย้อนหลัง ตรวจสอบแนวโน้มผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในแต่ละปีการศึกษา เพื่อปรับปรุงการสอนในอนาคต
เพื่อให้สามารถประเมินความเหมาะสมของเนื้อหา วิธีการสอน และการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายวิชานี้ใช้กลยุทธ์การประเมินโดยนักศึกษาดังนี้:
กลยุทธ์ รายละเอียด 1. แบบสอบถามประเมินรายวิชา จัดทำแบบสอบถามออนไลน์หรือกระดาษ เพื่อให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหา วิธีการสอน การใช้สื่อ และความพึงพอใจต่อรายวิชา 2. การสะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflection) ให้นักศึกษาเขียนสะท้อนความเข้าใจ ความรู้ที่ได้รับ และข้อเสนอแนะต่อรายวิชาในสัปดาห์สุดท้าย 3. การอภิปรายในชั้นเรียน เปิดโอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นแบบเปิดในช่วงท้ายภาคการศึกษา เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะโดยตรง 4. การวิเคราะห์ผลการเรียน วิเคราะห์ผลการเรียนของนักศึกษาเพื่อประเมินความเหมาะสมของระดับความยากของเนื้อหาและการวัดผล 5. การเปรียบเทียบผลการเรียนย้อนหลัง ตรวจสอบแนวโน้มผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในแต่ละปีการศึกษา เพื่อปรับปรุงการสอนในอนาคต
7.2 กลยุทธ์การประเมินการสอน
เพื่อให้สามารถปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รายวิชานี้ใช้กลยุทธ์การประเมินการสอนดังนี้:
กลยุทธ์ รายละเอียด 1. การประเมินตนเองของผู้สอน (Self-Assessment) ผู้สอนประเมินตนเองหลังจบภาคการศึกษา โดยพิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษา ความเหมาะสมของเนื้อหา และวิธีการสอน 2. การประเมินโดยนักศึกษา (Student Feedback) ใช้แบบสอบถามและการสะท้อนความคิดเห็นจากนักศึกษา เพื่อประเมินความพึงพอใจและข้อเสนอแนะต่อการสอน 3. การสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา ผู้สังเกตการณ์หรือผู้สอนบันทึกพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ความสนใจ และการตอบสนองของนักศึกษาในชั้นเรียน 4. การวิเคราะห์ผลการเรียนของนักศึกษา ตรวจสอบคะแนนสอบกลางภาค ปลายภาค และงานกลุ่ม เพื่อประเมินความเข้าใจและความก้าวหน้าของนักศึกษา 5. การประชุมแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ร่วมสอน/อาจารย์ในสาขา ร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอน ปัญหา และแนวทางพัฒนา 6. การใช้ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน นำผลการประเมินจากทุกช่องทางมาวิเคราะห์และปรับปรุงแผนการสอน เนื้อหา และวิธีการสอนในปีถัดไป
เพื่อให้สามารถปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รายวิชานี้ใช้กลยุทธ์การประเมินการสอนดังนี้:
กลยุทธ์ รายละเอียด 1. การประเมินตนเองของผู้สอน (Self-Assessment) ผู้สอนประเมินตนเองหลังจบภาคการศึกษา โดยพิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษา ความเหมาะสมของเนื้อหา และวิธีการสอน 2. การประเมินโดยนักศึกษา (Student Feedback) ใช้แบบสอบถามและการสะท้อนความคิดเห็นจากนักศึกษา เพื่อประเมินความพึงพอใจและข้อเสนอแนะต่อการสอน 3. การสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา ผู้สังเกตการณ์หรือผู้สอนบันทึกพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ความสนใจ และการตอบสนองของนักศึกษาในชั้นเรียน 4. การวิเคราะห์ผลการเรียนของนักศึกษา ตรวจสอบคะแนนสอบกลางภาค ปลายภาค และงานกลุ่ม เพื่อประเมินความเข้าใจและความก้าวหน้าของนักศึกษา 5. การประชุมแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ร่วมสอน/อาจารย์ในสาขา ร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอน ปัญหา และแนวทางพัฒนา 6. การใช้ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน นำผลการประเมินจากทุกช่องทางมาวิเคราะห์และปรับปรุงแผนการสอน เนื้อหา และวิธีการสอนในปีถัดไป
7.3 การปรับปรุงการสอน
เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี รายวิชานี้มีแนวทางการปรับปรุงการสอนดังนี้:
แนวทางการปรับปรุง รายละเอียด 1. ปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย ทบทวนและอัปเดตเนื้อหาวิชาให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น การใช้รีเลย์ดิจิทัล, การสื่อสารในระบบป้องกัน, การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ระบบ 2. เพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning เช่น การวิเคราะห์กรณีศึกษา, การทำงานกลุ่ม, การจำลองสถานการณ์ เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ 3. ใช้สื่อการสอนที่หลากหลาย เช่น วิดีโอสาธิต, โปรแกรมจำลอง, แบบฝึกหัดออนไลน์ เพื่อเพิ่มความเข้าใจและความน่าสนใจ 4. ปรับปรุงการวัดผล ใช้การประเมินที่หลากหลาย เช่น แบบทดสอบ, รายงานกลุ่ม, การนำเสนอ และการประเมินตนเอง 5. รับฟังความคิดเห็นจากนักศึกษา นำข้อเสนอแนะจากแบบประเมินรายวิชาและการสะท้อนผลการเรียนรู้มาปรับปรุงการสอนในปีถัดไป 6. พัฒนาตนเองของผู้สอน เข้าร่วมอบรม/สัมมนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ในระบบไฟฟ้าและนวัตกรรมการสอนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี รายวิชานี้มีแนวทางการปรับปรุงการสอนดังนี้:
แนวทางการปรับปรุง รายละเอียด 1. ปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย ทบทวนและอัปเดตเนื้อหาวิชาให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น การใช้รีเลย์ดิจิทัล, การสื่อสารในระบบป้องกัน, การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ระบบ 2. เพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning เช่น การวิเคราะห์กรณีศึกษา, การทำงานกลุ่ม, การจำลองสถานการณ์ เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ 3. ใช้สื่อการสอนที่หลากหลาย เช่น วิดีโอสาธิต, โปรแกรมจำลอง, แบบฝึกหัดออนไลน์ เพื่อเพิ่มความเข้าใจและความน่าสนใจ 4. ปรับปรุงการวัดผล ใช้การประเมินที่หลากหลาย เช่น แบบทดสอบ, รายงานกลุ่ม, การนำเสนอ และการประเมินตนเอง 5. รับฟังความคิดเห็นจากนักศึกษา นำข้อเสนอแนะจากแบบประเมินรายวิชาและการสะท้อนผลการเรียนรู้มาปรับปรุงการสอนในปีถัดไป 6. พัฒนาตนเองของผู้สอน เข้าร่วมอบรม/สัมมนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ในระบบไฟฟ้าและนวัตกรรมการสอนอย่างต่อเนื่อง
7.4 การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชา
การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญในการประกันคุณภาพการศึกษา โดยรายวิชานี้ใช้แนวทางดังนี้:
แนวทางการทวนสอบ รายละเอียด 1. การตรวจสอบข้อสอบและเครื่องมือวัดผล มีการตรวจสอบข้อสอบ กลางภาค ปลายภาค และแบบฝึกหัด โดยคณะกรรมการทวนสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือวัดผลสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2. การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้รายผลสัมฤทธิ์ วิเคราะห์คะแนนของนักศึกษาในแต่ละผลการเรียนรู้ (CLO) เพื่อประเมินว่านักศึกษาบรรลุเป้าหมายในระดับใด 3. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์กับเกณฑ์มาตรฐาน ใช้เกณฑ์ เช่น ร้อยละของนักศึกษาที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำในแต่ละ CLO เพื่อประเมินคุณภาพของการเรียนการสอน 4. การประชุมทวนสอบผลสัมฤทธิ์ คณะกรรมการทวนสอบรายวิชาร่วมประชุมเพื่อพิจารณาผลการเรียนรู้ และให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงรายวิชา 5. การจัดทำรายงานผลการทวนสอบ จัดทำรายงานสรุปผลการทวนสอบ พร้อมข้อเสนอแนะ และแนวทางการปรับปรุงในภาคการศึกษาถัดไป
การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญในการประกันคุณภาพการศึกษา โดยรายวิชานี้ใช้แนวทางดังนี้:
แนวทางการทวนสอบ รายละเอียด 1. การตรวจสอบข้อสอบและเครื่องมือวัดผล มีการตรวจสอบข้อสอบ กลางภาค ปลายภาค และแบบฝึกหัด โดยคณะกรรมการทวนสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือวัดผลสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2. การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้รายผลสัมฤทธิ์ วิเคราะห์คะแนนของนักศึกษาในแต่ละผลการเรียนรู้ (CLO) เพื่อประเมินว่านักศึกษาบรรลุเป้าหมายในระดับใด 3. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์กับเกณฑ์มาตรฐาน ใช้เกณฑ์ เช่น ร้อยละของนักศึกษาที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำในแต่ละ CLO เพื่อประเมินคุณภาพของการเรียนการสอน 4. การประชุมทวนสอบผลสัมฤทธิ์ คณะกรรมการทวนสอบรายวิชาร่วมประชุมเพื่อพิจารณาผลการเรียนรู้ และให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงรายวิชา 5. การจัดทำรายงานผลการทวนสอบ จัดทำรายงานสรุปผลการทวนสอบ พร้อมข้อเสนอแนะ และแนวทางการปรับปรุงในภาคการศึกษาถัดไป
7.5 การดำเนินการทบทวนและวางแผนปรับปรุงประสิทธิผลของรายวิชา
เพื่อให้รายวิชามีคุณภาพและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของผู้เรียน รายวิชานี้มีแนวทางการทบทวนและวางแผนปรับปรุงดังนี้:
แนวทางการดำเนินการ รายละเอียด 1. การประชุมทบทวนรายวิชา จัดประชุมร่วมกับอาจารย์ในสาขาวิชาเพื่อทบทวนผลการดำเนินการของรายวิชา วิเคราะห์ปัญหา และแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา 2. การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ของนักศึกษา ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในแต่ละผลการเรียนรู้ (CLO) เพื่อประเมินความเหมาะสมของเนื้อหาและวิธีการสอน 3. การใช้ผลการประเมินจากนักศึกษา นำข้อเสนอแนะจากแบบสอบถามและการสะท้อนผลการเรียนรู้ของนักศึกษามาใช้ในการปรับปรุงรายวิชา 4. การปรับปรุงแผนการสอนและกิจกรรม ปรับปรุงเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ และวิธีการประเมินผลให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียนและเทคโนโลยีปัจจุบัน 5. การพัฒนาศักยภาพของผู้สอน ส่งเสริมให้อาจารย์เข้าร่วมอบรม สัมมนา หรือศึกษาดูงาน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านวิชาการและนวัตกรรมการสอน 6. การจัดทำรายงานผลการปรับปรุง จัดทำรายงานสรุปการทบทวนและแนวทางการปรับปรุงรายวิชา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนารายวิชาในปีถัดไป
เพื่อให้รายวิชามีคุณภาพและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของผู้เรียน รายวิชานี้มีแนวทางการทบทวนและวางแผนปรับปรุงดังนี้:
แนวทางการดำเนินการ รายละเอียด 1. การประชุมทบทวนรายวิชา จัดประชุมร่วมกับอาจารย์ในสาขาวิชาเพื่อทบทวนผลการดำเนินการของรายวิชา วิเคราะห์ปัญหา และแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา 2. การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ของนักศึกษา ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในแต่ละผลการเรียนรู้ (CLO) เพื่อประเมินความเหมาะสมของเนื้อหาและวิธีการสอน 3. การใช้ผลการประเมินจากนักศึกษา นำข้อเสนอแนะจากแบบสอบถามและการสะท้อนผลการเรียนรู้ของนักศึกษามาใช้ในการปรับปรุงรายวิชา 4. การปรับปรุงแผนการสอนและกิจกรรม ปรับปรุงเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ และวิธีการประเมินผลให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียนและเทคโนโลยีปัจจุบัน 5. การพัฒนาศักยภาพของผู้สอน ส่งเสริมให้อาจารย์เข้าร่วมอบรม สัมมนา หรือศึกษาดูงาน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านวิชาการและนวัตกรรมการสอน 6. การจัดทำรายงานผลการปรับปรุง จัดทำรายงานสรุปการทบทวนและแนวทางการปรับปรุงรายวิชา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนารายวิชาในปีถัดไป
