โครงงานทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์
Senior Project in Software Engineering
1 บูรณาการความรู้: ให้นักศึกษาได้นำแนวคิดและหลักการทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เช่น การวิเคราะห์ความต้องการ (Requirement Analysis), การออกแบบระบบ (System Design), การพัฒนา (Implementation), การทดสอบ (Testing), และการบำรุงรักษา (Maintenance) มาใช้ในสถานการณ์จริง
2 พัฒนาซอฟต์แวร์อย่างเป็นระบบ: สอนให้นักศึกษารู้จักกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Life Cycle - SDLC) ตั้งแต่การวางแผน การบริหารจัดการโครงการ การทำงานร่วมกับทีม ไปจนถึงการส่งมอบงาน
3 เสริมสร้างทักษะการทำงานเป็นทีม: การทำงานเป็นกลุ่มในโครงการขนาดใหญ่จะช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้การสื่อสาร การแบ่งงาน การแก้ปัญหา และการรับผิดชอบร่วมกันในทีม
4 ฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหา: นักศึกษาจะได้เผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนในระหว่างการพัฒนาโปรเจกต์ และต้องใช้ความรู้ความสามารถในการหาแนวทางแก้ไขอย่างสร้างสรรค์
5 เรียนรู้การนำเสนอและการเขียนรายงาน: นักศึกษาจะต้องจัดทำเอกสารประกอบโครงการ (Project Documentation) และนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อฝึกทักษะการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
2 พัฒนาซอฟต์แวร์อย่างเป็นระบบ: สอนให้นักศึกษารู้จักกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Life Cycle - SDLC) ตั้งแต่การวางแผน การบริหารจัดการโครงการ การทำงานร่วมกับทีม ไปจนถึงการส่งมอบงาน
3 เสริมสร้างทักษะการทำงานเป็นทีม: การทำงานเป็นกลุ่มในโครงการขนาดใหญ่จะช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้การสื่อสาร การแบ่งงาน การแก้ปัญหา และการรับผิดชอบร่วมกันในทีม
4 ฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหา: นักศึกษาจะได้เผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนในระหว่างการพัฒนาโปรเจกต์ และต้องใช้ความรู้ความสามารถในการหาแนวทางแก้ไขอย่างสร้างสรรค์
5 เรียนรู้การนำเสนอและการเขียนรายงาน: นักศึกษาจะต้องจัดทำเอกสารประกอบโครงการ (Project Documentation) และนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อฝึกทักษะการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ในการพัฒนาปรับปรุงรายวิชา โครงงานทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Senior Project in Software Engineering) มุ่งเน้นเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อยกระดับทักษะของนักศึกษาให้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
1. เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและกระบวนการทำงานที่ทันสมัย
1.1 ปรับปรุงเครื่องมือและเทคโนโลยี: อัปเดตเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย เช่น การใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control) อย่าง Git, การใช้เฟรมเวิร์กยอดนิยม และการใช้ระบบคลาวด์ (Cloud Computing) ในการพัฒนาและเผยแพร่ซอฟต์แวร์
1.2 นำแนวทางการพัฒนาแบบ Agile มาใช้: ส่งเสริมการใช้กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Agile หรือ Scrum เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้การทำงานที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ตามสถานการณ์ และส่งมอบงานเป็นช่วงๆ (Incremental Delivery)
2. เพื่อเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการทำงานจริง
2.1 เน้นการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน: ให้โจทย์โครงงานที่มีความซับซ้อนและใกล้เคียงกับปัญหาในโลกธุรกิจจริง เพื่อฝึกฝนให้นักศึกษาคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
2.2 ส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีม: ปรับปรุงวิธีการประเมินผลให้ครอบคลุมการทำงานร่วมกันในทีม การสื่อสาร และการจัดการข้อขัดแย้ง
2.3 พัฒนาทักษะด้าน DevOps: เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการนำกระบวนการ DevOps เข้ามาใช้ในการพัฒนา เช่น การทำ Continuous Integration/Continuous Deployment (CI/CD) เพื่อให้นักศึกษาสามารถจัดการวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้อย่างอัตโนมัติ
3. เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างสรรค์และนวัตกรรม
3.1 กระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม: สนับสนุนให้นักศึกษาเลือกหัวข้อโครงงานที่มีความแปลกใหม่ หรือสามารถแก้ไขปัญหาทางสังคมหรือธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
3.2 ส่งเสริมการทำวิจัยและพัฒนา: เพิ่มส่วนของการทำวิจัยเบื้องต้น (Research and Development) เพื่อให้นักศึกษาได้สำรวจเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแนวคิดทางวิชาการที่น่าสนใจเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในโครงงาน
1. เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและกระบวนการทำงานที่ทันสมัย
1.1 ปรับปรุงเครื่องมือและเทคโนโลยี: อัปเดตเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย เช่น การใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control) อย่าง Git, การใช้เฟรมเวิร์กยอดนิยม และการใช้ระบบคลาวด์ (Cloud Computing) ในการพัฒนาและเผยแพร่ซอฟต์แวร์
1.2 นำแนวทางการพัฒนาแบบ Agile มาใช้: ส่งเสริมการใช้กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Agile หรือ Scrum เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้การทำงานที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ตามสถานการณ์ และส่งมอบงานเป็นช่วงๆ (Incremental Delivery)
2. เพื่อเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการทำงานจริง
2.1 เน้นการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน: ให้โจทย์โครงงานที่มีความซับซ้อนและใกล้เคียงกับปัญหาในโลกธุรกิจจริง เพื่อฝึกฝนให้นักศึกษาคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
2.2 ส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีม: ปรับปรุงวิธีการประเมินผลให้ครอบคลุมการทำงานร่วมกันในทีม การสื่อสาร และการจัดการข้อขัดแย้ง
2.3 พัฒนาทักษะด้าน DevOps: เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการนำกระบวนการ DevOps เข้ามาใช้ในการพัฒนา เช่น การทำ Continuous Integration/Continuous Deployment (CI/CD) เพื่อให้นักศึกษาสามารถจัดการวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้อย่างอัตโนมัติ
3. เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างสรรค์และนวัตกรรม
3.1 กระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม: สนับสนุนให้นักศึกษาเลือกหัวข้อโครงงานที่มีความแปลกใหม่ หรือสามารถแก้ไขปัญหาทางสังคมหรือธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
3.2 ส่งเสริมการทำวิจัยและพัฒนา: เพิ่มส่วนของการทำวิจัยเบื้องต้น (Research and Development) เพื่อให้นักศึกษาได้สำรวจเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแนวคิดทางวิชาการที่น่าสนใจเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในโครงงาน
ฝึกปฏิบัติกระบวนการซอฟต์แวร์ ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการ ออกแบบ พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ จัดทำปริญญานิพนธ์
Practice software process, requirement analysis and system design, software implementation and deployment, undergraduate thesis.
Practice software process, requirement analysis and system design, software implementation and deployment, undergraduate thesis.
1. ให้คำปรึกษาผ่านระบบโซเชียลเนตเวิร์ค เช่น ไลน์ หรือเฟสบุค ทั้งการคุยโต้ตอบทันทีและการฝากข้อความทิ้งไว้ใน E-mail และมีการตอบภายหลัง โดยนักศึกษาสามารถขอคำปรึกษาผ่านทางระบบนี้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง (นอกเวลาราชการฝากข้อความ) หรือใช้ช่องทางโทรศัพท์ปรึกษาระยะสั้น ใน 8 ชั่วโมงของทุกวันและเวลาราชการ
2. อาจารย์จัดเวลาให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่มตามความต้องการ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (เฉพาะรายที่ต้องการ)
2. อาจารย์จัดเวลาให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่มตามความต้องการ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (เฉพาะรายที่ต้องการ)
1 ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity)
2 ความรับผิดชอบ (Responsibility)
3 การทำงานเป็นทีมและเคารพผู้อื่น (Teamwork and Respect):
4 จรรยาบรรณวิชาชีพ (Professional Ethics)
2 ความรับผิดชอบ (Responsibility)
3 การทำงานเป็นทีมและเคารพผู้อื่น (Teamwork and Respect):
4 จรรยาบรรณวิชาชีพ (Professional Ethics)
1 การสอนแบบเน้นโครงการเป็นหลัก (Project-Based Learning - PBL): ให้นักศึกษาทำงานเป็นทีมเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีอาจารย์เป็นผู้ให้คำแนะนำและตรวจสอบความคืบหน้าเป็นระยะ
2 การสอนแบบมีที่ปรึกษา (Mentorship): จัดอาจารย์ที่ปรึกษาประจำแต่ละกลุ่ม เพื่อให้คำแนะนำทางวิชาการและช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำโครงการ
3 การนำเสนอและวิพากษ์งาน (Presentation and Peer Review): ให้นักศึกษานำเสนอความคืบหน้าของโครงการทุกสัปดาห์หรือทุกๆ สองสัปดาห์ เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นและให้
2 การสอนแบบมีที่ปรึกษา (Mentorship): จัดอาจารย์ที่ปรึกษาประจำแต่ละกลุ่ม เพื่อให้คำแนะนำทางวิชาการและช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำโครงการ
3 การนำเสนอและวิพากษ์งาน (Presentation and Peer Review): ให้นักศึกษานำเสนอความคืบหน้าของโครงการทุกสัปดาห์หรือทุกๆ สองสัปดาห์ เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นและให้
1 การประเมินผลจากรายงานและเอกสาร (Documentation and Report)
2 การประเมินผลจากชิ้นงานจริง (Final Product/Artifact):
3 การประเมินผลจากการนำเสนอและการตอบคำถาม (Presentation and Defense):
4 การประเมินผลจากพฤติกรรมการทำงาน (Team and Individual Contribution)
2 การประเมินผลจากชิ้นงานจริง (Final Product/Artifact):
3 การประเมินผลจากการนำเสนอและการตอบคำถาม (Presentation and Defense):
4 การประเมินผลจากพฤติกรรมการทำงาน (Team and Individual Contribution)
1 กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Process): เข้าใจขั้นตอนทั้งหมดของวงจรชีวิตการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) ไม่ว่าจะเป็นแบบดั้งเดิม (Waterfall) หรือแบบที่ทันสมัย (Agile, Scrum) และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโครงการจริงได้
2 การวิเคราะห์และออกแบบ (Analysis & Design): สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งออกแบบสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ (Software Architecture) และส่วนติดต่อผู้ใช้งาน (UI/UX)
3 การจัดการโครงการ (Project Management): วางแผนโครงการ, จัดการทรัพยากร, ประมาณการเวลาและงบประมาณ, และบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
4 เทคโนโลยีและเครื่องมือ (Technologies & Tools): สามารถเลือกใช้ภาษาโปรแกรม, เฟรมเวิร์ก, และเครื่องมือต่างๆ ที่เหมาะสมกับโครงการ เช่น ระบบควบคุมเวอร์ชันอย่าง Git หรือแพลตฟอร์มคลาวด์
5 การทดสอบและการประกันคุณภาพ (Testing & QA): วางแผนและดำเนินการทดสอบซอฟต์แวร์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าซอฟต์แวร์มีคุณภาพและทำงานได้อย่างถูกต้อง
6 การจัดทำเอกสารและนำเสนอ (Documentation & Presentation): สามารถเขียนรายงานทางวิชาการและเอกสารประกอบโครงการได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งนำเสนอผลงานได้อย่างมืออาชีพ
2 การวิเคราะห์และออกแบบ (Analysis & Design): สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งออกแบบสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ (Software Architecture) และส่วนติดต่อผู้ใช้งาน (UI/UX)
3 การจัดการโครงการ (Project Management): วางแผนโครงการ, จัดการทรัพยากร, ประมาณการเวลาและงบประมาณ, และบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
4 เทคโนโลยีและเครื่องมือ (Technologies & Tools): สามารถเลือกใช้ภาษาโปรแกรม, เฟรมเวิร์ก, และเครื่องมือต่างๆ ที่เหมาะสมกับโครงการ เช่น ระบบควบคุมเวอร์ชันอย่าง Git หรือแพลตฟอร์มคลาวด์
5 การทดสอบและการประกันคุณภาพ (Testing & QA): วางแผนและดำเนินการทดสอบซอฟต์แวร์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าซอฟต์แวร์มีคุณภาพและทำงานได้อย่างถูกต้อง
6 การจัดทำเอกสารและนำเสนอ (Documentation & Presentation): สามารถเขียนรายงานทางวิชาการและเอกสารประกอบโครงการได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งนำเสนอผลงานได้อย่างมืออาชีพ
1 การสอนแบบโครงงานเป็นหลัก (Project-Based Learning): ให้นักศึกษาทำงานเป็นทีมเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ตามหัวข้อที่เลือกตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ โดยมีอาจารย์เป็นผู้ให้คำปรึกษาตลอดภาคการศึกษา
2 การสอนแบบมีที่ปรึกษา (Mentorship): จัดให้อาจารย์ที่ปรึกษาประจำแต่ละกลุ่มเพื่อติดตามความคืบหน้า ให้คำแนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหาทางเทคนิคหรือปัญหาการจัดการโครงการ
3 การนำเสนอความคืบหน้า (Progress Presentation): จัดให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มนำเสนอความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนและอาจารย์
4 การใช้เครื่องมือจริง (Practical Tool Usage): ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือที่ใช้ในอุตสาหกรรมจริง เช่น Git สำหรับการจัดการโค้ด, Trello หรือ Jira สำหรับการจัดการงาน, และ Slack สำหรับการสื่อสารในทีม
2 การสอนแบบมีที่ปรึกษา (Mentorship): จัดให้อาจารย์ที่ปรึกษาประจำแต่ละกลุ่มเพื่อติดตามความคืบหน้า ให้คำแนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหาทางเทคนิคหรือปัญหาการจัดการโครงการ
3 การนำเสนอความคืบหน้า (Progress Presentation): จัดให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มนำเสนอความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนและอาจารย์
4 การใช้เครื่องมือจริง (Practical Tool Usage): ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือที่ใช้ในอุตสาหกรรมจริง เช่น Git สำหรับการจัดการโค้ด, Trello หรือ Jira สำหรับการจัดการงาน, และ Slack สำหรับการสื่อสารในทีม
1 การทำงานกลุ่ม (Group Work): 60%
2 การทำงานรายบุคคล (Individual Work): 40%
2 การทำงานรายบุคคล (Individual Work): 40%
1 ทักษะการวิเคราะห์ (Analytical Thinking): ความสามารถในการแยกแยะองค์ประกอบของปัญหาที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์และสาเหตุที่แท้จริง
2 ทักษะการคิดเชิงระบบ (System Thinking): ความสามารถในการมองภาพรวมของระบบซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่างๆ เพื่อให้การออกแบบและพัฒนาเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน
3 ทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ (Creative Problem-Solving): ความสามารถในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ไม่ซ้ำใคร และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4 ทักษะการประเมินและตัดสินใจ (Evaluation and Decision-Making): ความสามารถในการประเมินทางเลือกต่างๆ โดยใช้เกณฑ์ที่เหมาะสม (เช่น ประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย, ความคุ้มค่า) และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
5 ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Learning): ความสามารถในการค้นคว้าและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแนวคิดทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับโครงการได้ด้วยตนเอง
2 ทักษะการคิดเชิงระบบ (System Thinking): ความสามารถในการมองภาพรวมของระบบซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่างๆ เพื่อให้การออกแบบและพัฒนาเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน
3 ทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ (Creative Problem-Solving): ความสามารถในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ไม่ซ้ำใคร และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4 ทักษะการประเมินและตัดสินใจ (Evaluation and Decision-Making): ความสามารถในการประเมินทางเลือกต่างๆ โดยใช้เกณฑ์ที่เหมาะสม (เช่น ประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย, ความคุ้มค่า) และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
5 ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Learning): ความสามารถในการค้นคว้าและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแนวคิดทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับโครงการได้ด้วยตนเอง
1 การสอนแบบมีที่ปรึกษา (Mentorship-Based Learning): อาจารย์ที่ปรึกษาจะตั้งคำถามเชิงลึก (เช่น "ทำไมถึงเลือกใช้เทคโนโลยีนี้?", "มีวิธีแก้ไขปัญหานี้ที่ดีกว่านี้ไหม?") เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง แทนที่จะบอกวิธีแก้ปัญหาโดยตรง
2 กรณีศึกษา (Case Study): นำเสนอกรณีศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกวิเคราะห์สาเหตุและหาแนวทางการแก้ไข
3 การวิพากษ์งาน (Peer Review and Critique): จัดให้มีการนำเสนอความคืบหน้าของโครงการอย่างสม่ำเสมอ และให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนช่วยกันวิพากษ์และให้ข้อเสนอแนะ เพื่อเปิดรับมุมมองที่หลากหลายและฝึกการประเมินผลงาน
4 การใช้เครื่องมือวางแผน (Planning Tools): ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือในการวางแผน เช่น Mind Map หรือ Diagram ต่างๆ (เช่น Use Case Diagram, Class Diagram) เพื่อช่วยจัดระเบียบความคิดและมองเห็นภาพรวมของโครงการ
2 กรณีศึกษา (Case Study): นำเสนอกรณีศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกวิเคราะห์สาเหตุและหาแนวทางการแก้ไข
3 การวิพากษ์งาน (Peer Review and Critique): จัดให้มีการนำเสนอความคืบหน้าของโครงการอย่างสม่ำเสมอ และให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนช่วยกันวิพากษ์และให้ข้อเสนอแนะ เพื่อเปิดรับมุมมองที่หลากหลายและฝึกการประเมินผลงาน
4 การใช้เครื่องมือวางแผน (Planning Tools): ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือในการวางแผน เช่น Mind Map หรือ Diagram ต่างๆ (เช่น Use Case Diagram, Class Diagram) เพื่อช่วยจัดระเบียบความคิดและมองเห็นภาพรวมของโครงการ
1 การประเมินจากเอกสาร (Documentation Evaluation): ประเมินคุณภาพของเอกสารที่นักศึกษาจัดทำขึ้น เช่น Software Requirements Specification (SRS) และ Software Design Document (SDD) โดยพิจารณาจากความลึกของการวิเคราะห์ปัญหาและความสมเหตุสมผลของการออกแบบ
2 การประเมินจากการนำเสนอและการตอบคำถาม (Presentation and Defense Evaluation): ประเมินจากความสามารถในการนำเสนอแนวคิด การอธิบายวิธีการแก้ไขปัญหา และการตอบคำถามของคณะกรรมการได้อย่างมีหลักการและเหตุผล
3 การประเมินจากชิ้นงาน (Artifact Evaluation): พิจารณาจากคุณภาพของโค้ด (เช่น ความสะอาดของโค้ด), สถาปัตยกรรมของซอฟต์แวร์, และการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนถึงทักษะการตัดสินใจและการคิดเชิงระบบ
4 การประเมินตนเองและเพื่อนร่วมทีม (Self and Peer Assessment): ให้นักศึกษาประเมินทักษะของตนเองและเพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะด้านการแก้ปัญหาและการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้เห็นภาพรวมของการทำงานอย่างยุติธรรม
2 การประเมินจากการนำเสนอและการตอบคำถาม (Presentation and Defense Evaluation): ประเมินจากความสามารถในการนำเสนอแนวคิด การอธิบายวิธีการแก้ไขปัญหา และการตอบคำถามของคณะกรรมการได้อย่างมีหลักการและเหตุผล
3 การประเมินจากชิ้นงาน (Artifact Evaluation): พิจารณาจากคุณภาพของโค้ด (เช่น ความสะอาดของโค้ด), สถาปัตยกรรมของซอฟต์แวร์, และการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนถึงทักษะการตัดสินใจและการคิดเชิงระบบ
4 การประเมินตนเองและเพื่อนร่วมทีม (Self and Peer Assessment): ให้นักศึกษาประเมินทักษะของตนเองและเพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะด้านการแก้ปัญหาและการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้เห็นภาพรวมของการทำงานอย่างยุติธรรม
1 ทักษะการทำงานเป็นทีม (Teamwork): สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกันได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันของโครงการ
2 ความรับผิดชอบ (Responsibility): มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของโครงการทั้งหมด
3 ภาวะผู้นำ (Leadership): สามารถเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีได้ สามารถกระตุ้นและสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมให้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ
4 ทักษะการสื่อสาร (Communication): สามารถสื่อสารแนวคิดและปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ทั้งการสื่อสารในทีมและกับการนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาหรือคณะกรรมการ
5 การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management): สามารถจัดการกับความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในทีมได้อย่างสร้างสรรค์และเป็นกลาง เพื่อให้ทีมเดินหน้าต่อไปได้
2 ความรับผิดชอบ (Responsibility): มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของโครงการทั้งหมด
3 ภาวะผู้นำ (Leadership): สามารถเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีได้ สามารถกระตุ้นและสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมให้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ
4 ทักษะการสื่อสาร (Communication): สามารถสื่อสารแนวคิดและปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ทั้งการสื่อสารในทีมและกับการนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาหรือคณะกรรมการ
5 การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management): สามารถจัดการกับความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในทีมได้อย่างสร้างสรรค์และเป็นกลาง เพื่อให้ทีมเดินหน้าต่อไปได้
1 การแบ่งกลุ่มทำงาน (Group Work): จัดให้นักศึกษาทำงานเป็นทีมตั้งแต่ 3-5 คน เพื่อฝึกฝนการแบ่งงาน การทำงานร่วมกัน และการตัดสินใจร่วมกัน
2 การมอบหมายบทบาท (Role Assignment): ในแต่ละทีม ควรมีการกำหนดบทบาทที่ชัดเจน เช่น หัวหน้าทีม (Team Leader), ผู้จัดการโครงการ (Project Manager), นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst), หรือโปรแกรมเมอร์ (Developer) เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่ง
3 การประชุมสม่ำเสมอ (Regular Meetings): ส่งเสริมให้ทีมมีการประชุมกันเป็นประจำ (เช่น การประชุมสั้นๆ แบบ Scrum) เพื่อรายงานความคืบหน้าและปัญหาที่พบ ซึ่งช่วยฝึกทักษะการสื่อสารและการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
4 การใช้เครื่องมือบริหารจัดการ (Management Tools): ให้นักศึกษาใช้เครื่องมือบริหารจัดการโครงการ เช่น Trello, Jira หรือ Asana เพื่อฝึกการติดตามงาน การมอบหมายงาน และการเห็นภาพรวมของความรับผิดชอบแต่ละคน
2 การมอบหมายบทบาท (Role Assignment): ในแต่ละทีม ควรมีการกำหนดบทบาทที่ชัดเจน เช่น หัวหน้าทีม (Team Leader), ผู้จัดการโครงการ (Project Manager), นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst), หรือโปรแกรมเมอร์ (Developer) เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่ง
3 การประชุมสม่ำเสมอ (Regular Meetings): ส่งเสริมให้ทีมมีการประชุมกันเป็นประจำ (เช่น การประชุมสั้นๆ แบบ Scrum) เพื่อรายงานความคืบหน้าและปัญหาที่พบ ซึ่งช่วยฝึกทักษะการสื่อสารและการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
4 การใช้เครื่องมือบริหารจัดการ (Management Tools): ให้นักศึกษาใช้เครื่องมือบริหารจัดการโครงการ เช่น Trello, Jira หรือ Asana เพื่อฝึกการติดตามงาน การมอบหมายงาน และการเห็นภาพรวมของความรับผิดชอบแต่ละคน
1 การประเมินตนเองและเพื่อนร่วมทีม (Self and Peer Assessment): ให้นักศึกษาทุกคนประเมินผลงานและพฤติกรรมของตนเอง รวมถึงของเพื่อนร่วมทีมด้วย เพื่อให้ได้ภาพรวมของการทำงานและความรับผิดชอบของแต่ละคนอย่างยุติธรรม
2 การประเมินจากอาจารย์ที่ปรึกษา (Advisor's Assessment): อาจารย์ที่ปรึกษาจะสังเกตพฤติกรรมการทำงานของทีมในระหว่างการประชุมและให้คำแนะนำ โดยคะแนนส่วนนี้จะมาจากการมีส่วนร่วม, การสื่อสาร, และการแก้ไขปัญหาในทีม
3 การประเมินจากผลงานรวม (Group Project Outcome): คะแนนส่วนนี้จะมาจากการนำเสนอและการตอบคำถามของทีมทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างผลงานที่มีคุณภาพ
4 การประเมินจากรายงานส่วนบุคคล (Individual Report): อาจให้นักศึกษาแต่ละคนเขียนรายงานสรุปบทบาทและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในทีม เพื่อประเมินความเข้าใจและความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล
2 การประเมินจากอาจารย์ที่ปรึกษา (Advisor's Assessment): อาจารย์ที่ปรึกษาจะสังเกตพฤติกรรมการทำงานของทีมในระหว่างการประชุมและให้คำแนะนำ โดยคะแนนส่วนนี้จะมาจากการมีส่วนร่วม, การสื่อสาร, และการแก้ไขปัญหาในทีม
3 การประเมินจากผลงานรวม (Group Project Outcome): คะแนนส่วนนี้จะมาจากการนำเสนอและการตอบคำถามของทีมทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างผลงานที่มีคุณภาพ
4 การประเมินจากรายงานส่วนบุคคล (Individual Report): อาจให้นักศึกษาแต่ละคนเขียนรายงานสรุปบทบาทและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในทีม เพื่อประเมินความเข้าใจและความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล
1 การประมาณการ: สามารถประมาณการเวลา, ทรัพยากร, และงบประมาณของโครงการได้อย่างสมเหตุสมผล
2 การวิเคราะห์ข้อมูล: สามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบที่พัฒนาเพื่อประเมินประสิทธิภาพหรือพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้
3 การคำนวณความซับซ้อน: สามารถประเมินความซับซ้อนของอัลกอริทึม (Algorithmic Complexity) ที่ใช้ในโปรแกรมได้
4 การเขียน: สามารถจัดทำเอกสารทางเทคนิค, รายงาน, และคู่มือการใช้งานได้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ
5 การพูด: สามารถนำเสนอแนวคิด, ความคืบหน้า, และผลลัพธ์ของโครงการต่อผู้อื่นได้อย่างน่าสนใจและเข้าใจง่าย
6 การรับฟัง: สามารถรับฟังข้อเสนอแนะและข้อวิจารณ์จากทีมและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาปรับปรุงงานได้
7 การใช้เครื่องมือพัฒนา: สามารถใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น Integrated Development Environment (IDE), ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control) อย่าง Git, และแพลตฟอร์มบริหารจัดการโครงการ (Project Management Tools)
8 การใช้เทคโนโลยีคลาวด์: สามารถใช้งานบริการคลาวด์ (Cloud Services) ในการพัฒนา, ทดสอบ, และเผยแพร่แอปพลิเคชันได้
9 การค้นคว้า: สามารถใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์และฐานข้อมูลทางวิชาการเพื่อค้นคว้าและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้
2 การวิเคราะห์ข้อมูล: สามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบที่พัฒนาเพื่อประเมินประสิทธิภาพหรือพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้
3 การคำนวณความซับซ้อน: สามารถประเมินความซับซ้อนของอัลกอริทึม (Algorithmic Complexity) ที่ใช้ในโปรแกรมได้
4 การเขียน: สามารถจัดทำเอกสารทางเทคนิค, รายงาน, และคู่มือการใช้งานได้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ
5 การพูด: สามารถนำเสนอแนวคิด, ความคืบหน้า, และผลลัพธ์ของโครงการต่อผู้อื่นได้อย่างน่าสนใจและเข้าใจง่าย
6 การรับฟัง: สามารถรับฟังข้อเสนอแนะและข้อวิจารณ์จากทีมและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาปรับปรุงงานได้
7 การใช้เครื่องมือพัฒนา: สามารถใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น Integrated Development Environment (IDE), ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control) อย่าง Git, และแพลตฟอร์มบริหารจัดการโครงการ (Project Management Tools)
8 การใช้เทคโนโลยีคลาวด์: สามารถใช้งานบริการคลาวด์ (Cloud Services) ในการพัฒนา, ทดสอบ, และเผยแพร่แอปพลิเคชันได้
9 การค้นคว้า: สามารถใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์และฐานข้อมูลทางวิชาการเพื่อค้นคว้าและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้
1 การฝึกประมาณการโครงการ: มอบหมายให้นักศึกษาแต่ละทีมวางแผนและประมาณการโครงการของตนเอง โดยมีคำแนะนำในการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น Planning Poker หรือ Three-Point Estimation เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สมเหตุสมผล
2 การนำเสนอเป็นระยะ: จัดให้มีการนำเสนอความคืบหน้าของโครงการอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบต่างๆ เช่น การนำเสนอต่อหน้าชั้นเรียน, การสาธิต (Demo), หรือการเขียนบล็อกสรุปความคืบหน้าของทีม
3 การใช้เครื่องมือมาตรฐานอุตสาหกรรม: ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือที่ใช้กันทั่วไปในวงการซอฟต์แวร์ เช่น Jira หรือ Trello สำหรับการจัดการงาน และ GitHub สำหรับการจัดการโค้ด ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการทำงานจริง
4 การจัดทำเอกสารและรายงาน: ให้นักศึกษาจัดทำเอกสารประกอบโครงการตามรูปแบบมาตรฐาน เช่น เอกสารข้อกำหนดความต้องการซอฟต์แวร์ (SRS) และรายงานฉบับสมบูรณ์ เพื่อฝึกทักษะการเขียนและการจัดระเบียบข้อมูล
2 การนำเสนอเป็นระยะ: จัดให้มีการนำเสนอความคืบหน้าของโครงการอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบต่างๆ เช่น การนำเสนอต่อหน้าชั้นเรียน, การสาธิต (Demo), หรือการเขียนบล็อกสรุปความคืบหน้าของทีม
3 การใช้เครื่องมือมาตรฐานอุตสาหกรรม: ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือที่ใช้กันทั่วไปในวงการซอฟต์แวร์ เช่น Jira หรือ Trello สำหรับการจัดการงาน และ GitHub สำหรับการจัดการโค้ด ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการทำงานจริง
4 การจัดทำเอกสารและรายงาน: ให้นักศึกษาจัดทำเอกสารประกอบโครงการตามรูปแบบมาตรฐาน เช่น เอกสารข้อกำหนดความต้องการซอฟต์แวร์ (SRS) และรายงานฉบับสมบูรณ์ เพื่อฝึกทักษะการเขียนและการจัดระเบียบข้อมูล
1 การประเมินเชิงปริมาณ: ประเมินความถูกต้องของการประมาณการเวลาและทรัพยากรที่ใช้ไปจริงกับแผนที่วางไว้
2 การประเมินเอกสารและรายงาน: ประเมินจากความชัดเจน, ความถูกต้อง, และความเป็นระบบของเอกสารที่จัดทำขึ้น เช่น การเขียนรายงานฉบับสมบูรณ์และคู่มือการใช้งาน
3 การประเมินการนำเสนอ: ประเมินความสามารถในการสื่อสารและสาธิตผลงานต่อคณะกรรมการ โดยพิจารณาจากความเข้าใจในเนื้อหา, ความมั่นใจในการพูด, และความสามารถในการตอบคำถาม
4 การประเมินการใช้เครื่องมือ: ประเมินจากการใช้เครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระหว่างการทำโครงการ เช่น การใช้ Git เพื่อจัดการโค้ดร่วมกันในทีม หรือการใช้ระบบคลาวด์ในการเผยแพร่แอปพลิเคชัน .
2 การประเมินเอกสารและรายงาน: ประเมินจากความชัดเจน, ความถูกต้อง, และความเป็นระบบของเอกสารที่จัดทำขึ้น เช่น การเขียนรายงานฉบับสมบูรณ์และคู่มือการใช้งาน
3 การประเมินการนำเสนอ: ประเมินความสามารถในการสื่อสารและสาธิตผลงานต่อคณะกรรมการ โดยพิจารณาจากความเข้าใจในเนื้อหา, ความมั่นใจในการพูด, และความสามารถในการตอบคำถาม
4 การประเมินการใช้เครื่องมือ: ประเมินจากการใช้เครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระหว่างการทำโครงการ เช่น การใช้ Git เพื่อจัดการโค้ดร่วมกันในทีม หรือการใช้ระบบคลาวด์ในการเผยแพร่แอปพลิเคชัน .
1 การสร้างและบำรุงรักษาระบบซอฟต์แวร์: สามารถพัฒนาและเขียนโค้ดซอฟต์แวร์ได้ตามหลักการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ รวมถึงการบำรุงรักษาและอัปเดตระบบในอนาคต
2 การใช้เครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์: สามารถใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น Integrated Development Environment (IDE), ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control) อย่าง Git และเครื่องมือสำหรับการทดสอบอัตโนมัติ (Automated Testing Tools)
3 การบริหารจัดการโครงการด้วยเครื่องมือ: สามารถใช้เครื่องมือบริหารจัดการโครงการ (Project Management Tools) เช่น Jira หรือ Trello เพื่อวางแผน ติดตามความคืบหน้า และมอบหมายงานในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4 การติดตั้งและตั้งค่าระบบ: สามารถติดตั้ง (Deploy) และตั้งค่า (Configure) ระบบซอฟต์แวร์บนเซิร์ฟเวอร์หรือแพลตฟอร์มคลาวด์ได้จริง
2 การใช้เครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์: สามารถใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น Integrated Development Environment (IDE), ระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control) อย่าง Git และเครื่องมือสำหรับการทดสอบอัตโนมัติ (Automated Testing Tools)
3 การบริหารจัดการโครงการด้วยเครื่องมือ: สามารถใช้เครื่องมือบริหารจัดการโครงการ (Project Management Tools) เช่น Jira หรือ Trello เพื่อวางแผน ติดตามความคืบหน้า และมอบหมายงานในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4 การติดตั้งและตั้งค่าระบบ: สามารถติดตั้ง (Deploy) และตั้งค่า (Configure) ระบบซอฟต์แวร์บนเซิร์ฟเวอร์หรือแพลตฟอร์มคลาวด์ได้จริง
1 การสอนแบบลงมือปฏิบัติ (Hands-on Practice): ให้นักศึกษาลงมือเขียนโค้ดและพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ละสัปดาห์
2 การใช้เครื่องมือจริงในอุตสาหกรรม: อาจารย์ผู้สอนควรแนะนำและส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ เพื่อให้นักศึกษาคุ้นเคยกับการทำงานจริง
3 การให้คำปรึกษาเชิงปฏิบัติ: อาจารย์ที่ปรึกษาควรให้คำแนะนำในเชิงปฏิบัติ เช่น การตรวจสอบโค้ด (Code Review) และการแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค
4 การทำ Demo เป็นระยะ: จัดให้มีการนำเสนอการสาธิต (Demonstration) การทำงานของระบบที่พัฒนาขึ้นในแต่ละช่วง เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการใช้งานและนำเสนอผลงานจริง
2 การใช้เครื่องมือจริงในอุตสาหกรรม: อาจารย์ผู้สอนควรแนะนำและส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ เพื่อให้นักศึกษาคุ้นเคยกับการทำงานจริง
3 การให้คำปรึกษาเชิงปฏิบัติ: อาจารย์ที่ปรึกษาควรให้คำแนะนำในเชิงปฏิบัติ เช่น การตรวจสอบโค้ด (Code Review) และการแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค
4 การทำ Demo เป็นระยะ: จัดให้มีการนำเสนอการสาธิต (Demonstration) การทำงานของระบบที่พัฒนาขึ้นในแต่ละช่วง เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการใช้งานและนำเสนอผลงานจริง
1 การประเมินจากโค้ด (Code Evaluation): ประเมินจากคุณภาพของโค้ดที่เขียนขึ้น เช่น ความถูกต้อง (Correctness), ความสะอาด (Cleanliness) และการปฏิบัติตามมาตรฐานการเขียนโค้ด
2 การประเมินจากชิ้นงาน (Final Product): ประเมินจากความสมบูรณ์และประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น โดยพิจารณาจากฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วน
3 การประเมินจากการสาธิต (Demonstration): ประเมินจากความสามารถในการใช้งานและนำเสนอระบบได้อย่างคล่องแคล่วต่อหน้าคณะกรรมการ
4 การประเมินการใช้เครื่องมือ: ประเมินจากการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Git ในการจัดการโค้ด หรือ Jira ในการจัดการงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทักษะการปฏิบัติงานจริง
2 การประเมินจากชิ้นงาน (Final Product): ประเมินจากความสมบูรณ์และประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น โดยพิจารณาจากฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วน
3 การประเมินจากการสาธิต (Demonstration): ประเมินจากความสามารถในการใช้งานและนำเสนอระบบได้อย่างคล่องแคล่วต่อหน้าคณะกรรมการ
4 การประเมินการใช้เครื่องมือ: ประเมินจากการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Git ในการจัดการโค้ด หรือ Jira ในการจัดการงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทักษะการปฏิบัติงานจริง
กิจกรรมที่ | ผลการเรียนรู้ * | วิธีการประเมินผลนักศึกษา | สัปดาห์ที่ประเมิน | สัดส่วนของการประเมินผล | ไม่มีข้อมูล |
---|
หมวดที่ 1: การจัดการโครงการ (Project Management)
หนังสือในหมวดนี้จะช่วยให้เข้าใจหลักการบริหารจัดการโครงการซอฟต์แวร์ ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการส่งมอบงาน
Software Engineering: A Practitioner's Approach
ผู้เขียน: Roger S. Pressman และ Bruce R. Maxim ทำไมถึงแนะนำ: เป็นตำราคลาสสิกที่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บความต้องการ การออกแบบ การทดสอบ ไปจนถึงการจัดการโครงการ มีตัวอย่างและกรณีศึกษาที่ช่วยให้เห็นภาพการทำงานจริงได้ชัดเจน The Mythical Man-Month: Essays on Software Engineering
ผู้เขียน: Frederick P. Brooks Jr. ทำไมถึงแนะนำ: เป็นหนังสือที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทุกคนควรอ่าน แม้จะตีพิมพ์มานานแล้ว แต่หลักการและบทเรียนต่าง ๆ ยังคงใช้ได้ดีจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการจัดการทีมและปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในโครงการขนาดใหญ่
หมวดที่ 2: การวิเคราะห์และออกแบบ (Analysis & Design)
หนังสือหมวดนี้จะเน้นไปที่การสร้างแบบจำลองและการออกแบบระบบอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์ที่แข็งแรงและมีคุณภาพ
UML Distilled: A Brief Guide to the Standard Object Modeling Language
ผู้เขียน: Martin Fowler ทำไมถึงแนะนำ: เป็นคู่มือฉบับย่อที่เข้าใจง่ายสำหรับภาษา UML (Unified Modeling Language) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบและสื่อสารแนวคิดของระบบซอฟต์แวร์ ช่วยให้สามารถวาดแผนภาพต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว Applying UML and Patterns: An Introduction to Object-Oriented Analysis and Design and the Unified Process
ผู้เขียน: Craig Larman ทำไมถึงแนะนำ: เป็นหนังสือที่สอนการนำ UML และ Design Patterns มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบอย่างเป็นระบบ มีการยกตัวอย่างที่ชัดเจนตั้งแต่การเก็บความต้องการไปจนถึงการเขียนโค้ด
หมวดที่ 3: การเขียนโปรแกรมและกระบวนการพัฒนา (Implementation & Process)
หมวดนี้จะช่วยเสริมความรู้ด้านการเขียนโค้ดที่มีคุณภาพและการทำงานในทีม
Clean Code: A Handbook of Agile Software Craftsmanship
ผู้เขียน: Robert C. Martin (Uncle Bob) ทำไมถึงแนะนำ: หนังสือเล่มนี้เน้นการเขียนโค้ดที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และบำรุงรักษาได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่นักศึกษาต้องมีเพื่อทำงานในทีมให้มีประสิทธิภาพ Head First Design Patterns: A Brain-Friendly Guide
ผู้เขียน: Eric Freeman, Elisabeth Robson, Bert Bates, และ Kathy Sierra ทำไมถึงแนะนำ: เป็นหนังสือที่อธิบายแนวคิดเรื่อง Design Patterns ได้อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่าย ช่วยให้นักศึกษาสามารถนำรูปแบบการแก้ปัญหาที่ใช้กันทั่วไปมาปรับใช้ในโครงการของตนเองได้
หมวดที่ 4: เอกสารประกอบการสอนและสื่อออนไลน์
นอกจากหนังสือแล้ว การใช้เอกสารประกอบการสอนและสื่อออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมความรู้ได้
เอกสารประกอบการสอนของอาจารย์
อาจารย์ผู้สอนอาจจัดทำเอกสารที่สรุปเนื้อหาสำคัญและปรับให้เข้ากับบริบทของโครงการในชั้นเรียนได้โดยตรง แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Coursera, edX, หรือ Udemy
หลักสูตรออนไลน์ เช่น Software Engineering for Software as a Service (SaaS) จาก Coursera หรือหลักสูตรเกี่ยวกับ Agile Development สามารถเป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่นักศึกษาใช้เรียนรู้ด้วยตนเองได้ เว็บไซต์สำหรับนักพัฒนา
เว็บไซต์อย่าง Stack Overflow, GitHub หรือบล็อกของบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำต่าง ๆ เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคและเรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
หนังสือในหมวดนี้จะช่วยให้เข้าใจหลักการบริหารจัดการโครงการซอฟต์แวร์ ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการส่งมอบงาน
Software Engineering: A Practitioner's Approach
ผู้เขียน: Roger S. Pressman และ Bruce R. Maxim ทำไมถึงแนะนำ: เป็นตำราคลาสสิกที่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บความต้องการ การออกแบบ การทดสอบ ไปจนถึงการจัดการโครงการ มีตัวอย่างและกรณีศึกษาที่ช่วยให้เห็นภาพการทำงานจริงได้ชัดเจน The Mythical Man-Month: Essays on Software Engineering
ผู้เขียน: Frederick P. Brooks Jr. ทำไมถึงแนะนำ: เป็นหนังสือที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทุกคนควรอ่าน แม้จะตีพิมพ์มานานแล้ว แต่หลักการและบทเรียนต่าง ๆ ยังคงใช้ได้ดีจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการจัดการทีมและปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในโครงการขนาดใหญ่
หมวดที่ 2: การวิเคราะห์และออกแบบ (Analysis & Design)
หนังสือหมวดนี้จะเน้นไปที่การสร้างแบบจำลองและการออกแบบระบบอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์ที่แข็งแรงและมีคุณภาพ
UML Distilled: A Brief Guide to the Standard Object Modeling Language
ผู้เขียน: Martin Fowler ทำไมถึงแนะนำ: เป็นคู่มือฉบับย่อที่เข้าใจง่ายสำหรับภาษา UML (Unified Modeling Language) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบและสื่อสารแนวคิดของระบบซอฟต์แวร์ ช่วยให้สามารถวาดแผนภาพต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว Applying UML and Patterns: An Introduction to Object-Oriented Analysis and Design and the Unified Process
ผู้เขียน: Craig Larman ทำไมถึงแนะนำ: เป็นหนังสือที่สอนการนำ UML และ Design Patterns มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบอย่างเป็นระบบ มีการยกตัวอย่างที่ชัดเจนตั้งแต่การเก็บความต้องการไปจนถึงการเขียนโค้ด
หมวดที่ 3: การเขียนโปรแกรมและกระบวนการพัฒนา (Implementation & Process)
หมวดนี้จะช่วยเสริมความรู้ด้านการเขียนโค้ดที่มีคุณภาพและการทำงานในทีม
Clean Code: A Handbook of Agile Software Craftsmanship
ผู้เขียน: Robert C. Martin (Uncle Bob) ทำไมถึงแนะนำ: หนังสือเล่มนี้เน้นการเขียนโค้ดที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และบำรุงรักษาได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่นักศึกษาต้องมีเพื่อทำงานในทีมให้มีประสิทธิภาพ Head First Design Patterns: A Brain-Friendly Guide
ผู้เขียน: Eric Freeman, Elisabeth Robson, Bert Bates, และ Kathy Sierra ทำไมถึงแนะนำ: เป็นหนังสือที่อธิบายแนวคิดเรื่อง Design Patterns ได้อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่าย ช่วยให้นักศึกษาสามารถนำรูปแบบการแก้ปัญหาที่ใช้กันทั่วไปมาปรับใช้ในโครงการของตนเองได้
หมวดที่ 4: เอกสารประกอบการสอนและสื่อออนไลน์
นอกจากหนังสือแล้ว การใช้เอกสารประกอบการสอนและสื่อออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมความรู้ได้
เอกสารประกอบการสอนของอาจารย์
อาจารย์ผู้สอนอาจจัดทำเอกสารที่สรุปเนื้อหาสำคัญและปรับให้เข้ากับบริบทของโครงการในชั้นเรียนได้โดยตรง แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Coursera, edX, หรือ Udemy
หลักสูตรออนไลน์ เช่น Software Engineering for Software as a Service (SaaS) จาก Coursera หรือหลักสูตรเกี่ยวกับ Agile Development สามารถเป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่นักศึกษาใช้เรียนรู้ด้วยตนเองได้ เว็บไซต์สำหรับนักพัฒนา
เว็บไซต์อย่าง Stack Overflow, GitHub หรือบล็อกของบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำต่าง ๆ เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคและเรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
1 แบบประเมินรายวิชาออนไลน์: ให้นักศึกษาทำแบบประเมินเมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษา โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ของมหาวิทยาลัย เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหา, ความเหมาะสมของอาจารย์ผู้สอน, และประโยชน์ที่ได้รับจากรายวิชา
2 การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion): จัดการพูดคุยกับนักศึกษาบางส่วนหลังจากสิ้นสุดโครงการ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาที่พบ, ความท้าทาย, และข้อเสนอแนะในการปรับปรุง
3 การสัมภาษณ์ระหว่างภาคเรียน: อาจารย์ที่ปรึกษาอาจสัมภาษณ์นักศึกษาเป็นรายกลุ่มเป็นระยะ เพื่อสอบถามความคืบหน้าและปัญหาที่พบในระหว่างการทำโครงการ
2 การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion): จัดการพูดคุยกับนักศึกษาบางส่วนหลังจากสิ้นสุดโครงการ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาที่พบ, ความท้าทาย, และข้อเสนอแนะในการปรับปรุง
3 การสัมภาษณ์ระหว่างภาคเรียน: อาจารย์ที่ปรึกษาอาจสัมภาษณ์นักศึกษาเป็นรายกลุ่มเป็นระยะ เพื่อสอบถามความคืบหน้าและปัญหาที่พบในระหว่างการทำโครงการ
1 แบบประเมินการสอนจากนักศึกษา: ใช้แบบประเมินมาตรฐานที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น ความชัดเจนในการสื่อสาร, การให้คำปรึกษา, และการจัดการชั้นเรียน
2 การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก: เชิญผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรมหรืออาจารย์ท่านอื่นมาร่วมสังเกตการณ์การนำเสนอโครงงานของนักศึกษา เพื่อให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเนื้อหาและวิธีการประเมินผล
3 การบันทึกการสอน (Self-Reflection): อาจารย์อาจบันทึกการสอนหรือการให้คำปรึกษาของตนเอง เพื่อนำมาทบทวนและประเมินผลด้วยตนเอง
2 การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก: เชิญผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรมหรืออาจารย์ท่านอื่นมาร่วมสังเกตการณ์การนำเสนอโครงงานของนักศึกษา เพื่อให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเนื้อหาและวิธีการประเมินผล
3 การบันทึกการสอน (Self-Reflection): อาจารย์อาจบันทึกการสอนหรือการให้คำปรึกษาของตนเอง เพื่อนำมาทบทวนและประเมินผลด้วยตนเอง
1 ปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย: นำข้อมูลจากแบบประเมินมาปรับปรุงเนื้อหาในส่วนที่ล้าสมัยหรือที่นักศึกษาเสนอแนะว่าควรเพิ่ม เช่น การเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีคลาวด์ หรือกระบวนการ DevOps
2 ปรับเปลี่ยนวิธีการให้คำปรึกษา: หากนักศึกษาส่วนใหญ่ให้ข้อเสนอแนะว่าต้องการคำแนะนำที่เจาะจงมากขึ้น อาจารย์ที่ปรึกษาอาจเพิ่มช่วงเวลาในการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวหรือแบบกลุ่มเล็ก
3 เพิ่มเครื่องมือและสื่อการสอน: พิจารณาการใช้เครื่องมือใหม่ๆ หรือสื่อการสอนเพิ่มเติมที่ช่วยให้นักศึกษาเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้แพลตฟอร์มสำหรับจัดการโค้ดอย่าง GitHub หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์
2 ปรับเปลี่ยนวิธีการให้คำปรึกษา: หากนักศึกษาส่วนใหญ่ให้ข้อเสนอแนะว่าต้องการคำแนะนำที่เจาะจงมากขึ้น อาจารย์ที่ปรึกษาอาจเพิ่มช่วงเวลาในการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวหรือแบบกลุ่มเล็ก
3 เพิ่มเครื่องมือและสื่อการสอน: พิจารณาการใช้เครื่องมือใหม่ๆ หรือสื่อการสอนเพิ่มเติมที่ช่วยให้นักศึกษาเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้แพลตฟอร์มสำหรับจัดการโค้ดอย่าง GitHub หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์
1 การตรวจสอบจากคณะกรรมการ: ในการนำเสนอโครงงานสุดท้าย (Final Defense) ควรมีคณะกรรมการมากกว่า 1 ท่าน (อาจารย์ประจำวิชา, อาจารย์ที่ปรึกษา, หรือผู้เชี่ยวชาญภายนอก) เพื่อร่วมกันประเมินและให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด
2 การเปรียบเทียบผลงาน: เปรียบเทียบผลงานของนักศึกษาในแต่ละกลุ่มกับมาตรฐานของปีที่ผ่านมา หรือกับผลงานในรายวิชาเดียวกันของสถาบันอื่น เพื่อตรวจสอบคุณภาพของผลงาน
3 การตรวจสอบเอกสารและรายงาน: สุ่มตรวจสอบเอกสารประกอบโครงการและรายงานฉบับสมบูรณ์ เพื่อให้มั่นใจว่านักศึกษาได้จัดทำตามมาตรฐานที่กำหนด
2 การเปรียบเทียบผลงาน: เปรียบเทียบผลงานของนักศึกษาในแต่ละกลุ่มกับมาตรฐานของปีที่ผ่านมา หรือกับผลงานในรายวิชาเดียวกันของสถาบันอื่น เพื่อตรวจสอบคุณภาพของผลงาน
3 การตรวจสอบเอกสารและรายงาน: สุ่มตรวจสอบเอกสารประกอบโครงการและรายงานฉบับสมบูรณ์ เพื่อให้มั่นใจว่านักศึกษาได้จัดทำตามมาตรฐานที่กำหนด
1 จัดทำรายงานสรุปผล: จัดทำรายงานสรุปผลการประเมินจากทุกส่วนที่กล่าวมาข้างต้น และนำเสนอต่อคณะกรรมการประจำภาควิชา เพื่อรับทราบและอนุมัติแผนการปรับปรุง
2 วางแผนการปรับปรุงระยะสั้นและระยะยาว: วางแผนการปรับปรุงรายวิชาในภาคการศึกษาถัดไป (ระยะสั้น) และวางแผนการพัฒนาหลักสูตรในระยะ 3-5 ปี (ระยะยาว)
3 แจ้งผลการปรับปรุงให้นักศึกษาทราบ: แจ้งผลการปรับปรุงรายวิชาให้นักศึกษารุ่นถัดไปทราบ เพื่อให้นักศึกษาเห็นถึงความสำคัญของข้อเสนอแนะที่ให้มา และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาหลักสูตร
2 วางแผนการปรับปรุงระยะสั้นและระยะยาว: วางแผนการปรับปรุงรายวิชาในภาคการศึกษาถัดไป (ระยะสั้น) และวางแผนการพัฒนาหลักสูตรในระยะ 3-5 ปี (ระยะยาว)
3 แจ้งผลการปรับปรุงให้นักศึกษาทราบ: แจ้งผลการปรับปรุงรายวิชาให้นักศึกษารุ่นถัดไปทราบ เพื่อให้นักศึกษาเห็นถึงความสำคัญของข้อเสนอแนะที่ให้มา และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาหลักสูตร