สถิติสำหรับวิทยาศาสตร์

Statistics for Science

มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานทางสถิติที่ใช้ในงานวิทยาศาสตร์ สามารถใช้เครื่องมือและวิธีการทางสถิติในการรวบรวม วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม พัฒนาทักษะในการคิดเชิงวิเคราะห์ และการตัดสินใจโดยใช้หลักฐานเชิงข้อมูล ประยุกต์ใช้ความรู้ทางสถิติเพื่อแก้ไขปัญหาทางวิทยาศาสตร์หรือสถานการณ์จริงได้ มีความซื่อสัตย์ทางวิชาการ และจริยธรรมในการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ทางสถิติ
เพื่อปรับปรุงเนื้อหาและวิธีการสอนให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการ และความต้องการของสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาเข้าใจแนวคิดทางสถิติอย่างเป็นระบบ และสามารถประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้จริง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ โดยบูรณาการการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเครื่องมือทางสถิติ เช่น โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา โดยเน้นการเรียนรู้แบบ Active Learning และการใช้กรณีศึกษา เพื่อส่งเสริมจริยธรรมวิชาการในการใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ และการรายงานผลอย่างมีความรับผิดชอบ
ศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางสถิติ ความน่าจะเป็น ตัวแปรสุ่ม การแจกแจงของตัวแปรสุ่ม การสุ่มตัวอย่าง การแจกแจงของค่าตัวอย่าง การประมาณค่า การทดสอบสมมติฐานของกลุ่มเดียวและสองกลุ่ม การวิเคราะห์ความแปรปรวน การทดสอบไคกำลังสอง และการวิเคราะห์การถดถอยและสหสัมพันธ์
1.3 มีวินัย ขยัน อดทน ตรงต่อเวลาและความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดล้อม
การเข้าชั้นเรียนให้ตรงเวลา ตลอดจนการแต่งกายที่เป็นไปตามระเบียบของมหาวิทยาลัยฯ
ใช้ใบเซ็นชื่อ
2.1.1 มีความรู้และความเข้าใจทั้งด้านทฤษฏีและหลักการปฏิบัติในเนื้อหาที่ศึกษา
2.1.2 สามารถติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคโนโลยีของสาขาวิชาที่ศึกษา
2.1 มุ่งเน้นทั้งหลักการทางทฤษฎี และการประยุกต์ใช้ความรู้ในการปฎิบัติใน สภาพแวดล้อมจริงและให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จัดให้มีการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง
 
2.3.1การสอบกลางภาคและปลายภาค:

 
2.3.2 การทำแบบฝึกหัดและการบ้าน:  
2.3.3 การทดสอบย่อย/ควิซ:
 
2.3.4 การมีส่วนร่วมและการตอบคำถามในชั้นเรียน:
 
3.1 มีทักษะในการปฏิบัติจากการประยุกต์ความรู้ทั้งทางด้านวิชาการหรือวิชาชีพ
วิเคราะห์องค์ประกอบของสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้บทบาทสมมติสถานการณ์จำลอง และกรณีศึกษาเพื่อเป็น ตัวอย่างให้นักศึกษาได้ฝึกวิเคราะห์แนวทางแก้ไขให้ถูกต้อง
แน่นอนครับ เรามาปรับปรุงในส่วนของ "3. ทักษะทางปัญญา" ให้ละเอียดและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยอิงตามลักษณะของวิชา FUNMA119 และความต้องการของหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศครับ

3. ทักษะทางปัญญา (Intellectual Skills)
3.1 ทักษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะทางปัญญาที่จำเป็นสำหรับการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และประยุกต์ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

3.1.1 การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking):
ความสามารถในการแยกแยะองค์ประกอบของปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและระบุข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหา ความสามารถในการจำแนกประเภทของปัญหา และเลือกใช้แนวคิด หลักการ หรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ 3.1.2 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking): ความสามารถในการประเมินความสมเหตุสมผล ความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของแนวคิด วิธีการแก้ปัญหา หรือผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ ความสามารถในการระบุข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องในกระบวนการคิดและการคำนวณ 3.1.3 การแก้ปัญหา (Problem Solving): ความสามารถในการระบุและทำความเข้าใจปัญหาทางคณิตศาสตร์ รวมถึงปัญหาที่ประยุกต์ใช้ในบริบทของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความสามารถในการกำหนดแนวทาง วางแผน และดำเนินกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและมีขั้นตอน ความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมือหรือเทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสมในการหาคำตอบ 3.1.4 การใช้เหตุผลเชิงตรรกะ (Logical Reasoning): ความสามารถในการสร้างและใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการพิสูจน์ข้อความ หรืออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดทางคณิตศาสตร์ ความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์เข้ากับแนวคิดที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง

3.2 วิธีการสอน
เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางปัญญาเหล่านี้ ผู้สอนควรใช้วิธีการสอนที่เน้นการมีส่วนร่วมและการคิดเชิงรุก ดังนี้:

3.2.1 การสอนแบบเน้นปัญหา (Problem-Based Learning):
มอบหมายโจทย์ปัญหาและสถานการณ์จำลองที่ท้าทาย ซึ่งต้องใช้การคิดวิเคราะห์ การประยุกต์ใช้ความรู้ และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมให้นักศึกษาคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่หลากหลาย และอภิปรายแนวคิดที่แตกต่างกัน 3.2.2 การอภิปรายและการซักถามแบบกระตุ้นความคิด: ผู้สอนตั้งคำถามปลายเปิดและกระตุ้นให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น อธิบายแนวคิด และให้เหตุผลประกอบคำตอบ จัดกิจกรรมให้นักศึกษาได้นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์และวิจารณญาณ 3.2.3 การมอบหมายงานที่เน้นกระบวนการคิดและเหตุผล: ให้การบ้านหรือแบบฝึกหัดที่ไม่ได้เน้นเพียงแค่คำตอบที่ถูกต้อง แต่เน้นการแสดงขั้นตอนการคิด การให้เหตุผล และการอธิบายกระบวนการทางคณิตศาสตร์อย่างละเอียด อาจมีโจทย์ที่ต้องใช้การพิสูจน์ หรือการอธิบายแนวคิดด้วยภาษาของตนเอง 3.2.4 การใช้กรณีศึกษาและการประยุกต์ในบริบท IT: ยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์พื้นฐานในการแก้ปัญหาจริงในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (เช่น ตรรกศาสตร์ในวงจรดิจิทัล, เซตในการจัดการฐานข้อมูล, เมทริกซ์ในการประมวลผลภาพ) เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาคิดวิเคราะห์ถึงประโยชน์และความเชื่อมโยง 3.2.5 การให้ข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Feedback): ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการคิด การวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาของนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาได้พัฒนาทักษะทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง

3.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลทักษะทางปัญญาจะเน้นการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ดังนี้:

3.3.1 การสอบข้อเขียนที่เน้นการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้:
ออกข้อสอบที่วัดความสามารถในการวิเคราะห์โจทย์ปัญหา ประยุกต์ใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหา และแสดงขั้นตอนการคำนวณหรือการให้เหตุผลอย่างเป็นระบบและละเอียด อาจมีข้อสอบที่ให้ระบุข้อผิดพลาดในแนวคิดหรือการคำนวณที่กำหนดให้ 3.3.2 การประเมินจากการบ้านและแบบฝึกหัด: ประเมินจากความถูกต้องของแนวคิด วิธีการแก้ปัญหา และการอธิบายเหตุผลประกอบคำตอบ (ไม่ใช่เพียงแค่คำตอบสุดท้าย) วัดความสามารถในการเลือกใช้สูตรหรือวิธีการที่เหมาะสม 3.3.3 การนำเสนอและอภิปรายแนวคิด/วิธีแก้ปัญหา: ประเมินความสามารถในการนำเสนอแนวคิดทางคณิตศาสตร์ หรือวิธีแก้ปัญหาที่ซับซ้อนอย่างชัดเจน มีเหตุผล และตอบคำถาม/ข้อโต้แย้งได้อย่างสมเหตุสมผล (อาจทำเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย) 3.3.4 การประเมินจากการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน: สังเกตและประเมินการตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์ การแสดงความคิดเห็น และการอภิปรายที่แสดงถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเนื้อหาและทักษะการคิดวิจารณญาณ
4.1 ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ร่วมกัน การทำงานเป็นทีม และการเป็นบัณฑิตที่พึงประสงค์ในสังคมและสายอาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

4.1.1 มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง:
แสดงความรับผิดชอบในการเข้าเรียน การทำความเข้าใจเนื้อหา การทบทวนบทเรียน และการฝึกฝนทักษะทางคณิตศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ รับผิดชอบในการส่งงานที่ได้รับมอบหมายตรงเวลา และด้วยความพยายามสูงสุด มีความพร้อมในการเรียน และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองเมื่อมีข้อสงสัย 4.1.2 มีความรับผิดชอบต่อการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ: กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ให้เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับวิชาชีพในอนาคต 4.1.3 สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ (หากมีกิจกรรมกลุ่ม): สามารถร่วมมือและประสานงานกับเพื่อนร่วมชั้นในการทำกิจกรรมกลุ่มหรือแก้โจทย์ปัญหา (ถ้ามีการจัดกิจกรรมกลุ่มในวิชา) รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองและมีความรับผิดชอบในส่วนที่ได้รับมอบหมายในการทำงานกลุ่ม 4.1.4 มีภาวะผู้นำและผู้ตามที่ดี (หากมีกิจกรรมกลุ่ม): แสดงบทบาทในการเป็นผู้นำหรือผู้ตามที่ดีในการทำงานกลุ่ม ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และหาข้อสรุปที่เหมาะสม ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเพื่อนร่วมชั้นในการเรียนรู้และแก้ปัญหา (โดยไม่นำไปสู่การทุจริต) 4.1.5 มีความเคารพในความแตกต่างและความหลากหลาย: เปิดใจรับฟังความคิดเห็นและวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างจากของตนเอง เคารพสิทธิและให้เกียรติเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ผู้สอน
4.2 วิธีการสอน
ผู้สอนสามารถส่งเสริมทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนดังนี้:

4.2.1 การมอบหมายงานที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบส่วนบุคคล:
กำหนดการบ้านและแบบฝึกหัดที่ชัดเจน พร้อมกำหนดส่งที่แน่นอน เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกวินัยและความรับผิดชอบต่อตนเอง กระตุ้นให้นักศึกษาทบทวนและทำความเข้าใจเนื้อหาด้วยตนเองก่อนเข้าเรียน 4.2.2 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning) (หากเหมาะสมกับเนื้อหา): จัดกิจกรรมกลุ่มเล็กในการแก้โจทย์ปัญหาบางข้อ หรืออภิปรายแนวคิดที่ซับซ้อน เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกการทำงานร่วมกัน การแบ่งปันความรู้ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กำหนดบทบาทหน้าที่ในการทำงานกลุ่ม (ถ้ามี) เพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบต่อกลุ่ม 4.2.3 การส่งเสริมการสื่อสารและการแสดงออก: เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ซักถาม อภิปราย แสดงความคิดเห็น และนำเสนอแนวคิดในชั้นเรียน เพื่อฝึกการสื่อสารและการเคารพความคิดเห็นผู้อื่น สร้างบรรยากาศที่นักศึกษากล้าแสดงความคิดเห็นและยอมรับในความผิดพลาด 4.2.4 การให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะรายบุคคล: ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคลเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ความรับผิดชอบ และแนวทางการพัฒนาตนเอง 4.2.5 การเป็นแบบอย่างที่ดี: ผู้สอนแสดงออกถึงความรับผิดชอบ ความตรงต่อเวลา และการให้เกียรตินักศึกษา เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี
ได้เลยครับ เรามาปรับปรุงส่วนของ "4. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ" สำหรับ มคอ. 3 วิชา FUNMA119 กันครับ แม้ว่าจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน แต่การพัฒนาทักษะเหล่านี้ก็สำคัญต่อการเรียนรู้และการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศที่มักจะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม

4. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ (Interpersonal Skills and Responsibility)
4.1 ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ร่วมกัน การทำงานเป็นทีม และการเป็นบัณฑิตที่พึงประสงค์ในสังคมและสายอาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

4.1.1 มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง:
แสดงความรับผิดชอบในการเข้าเรียน การทำความเข้าใจเนื้อหา การทบทวนบทเรียน และการฝึกฝนทักษะทางคณิตศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ รับผิดชอบในการส่งงานที่ได้รับมอบหมายตรงเวลา และด้วยความพยายามสูงสุด มีความพร้อมในการเรียน และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองเมื่อมีข้อสงสัย 4.1.2 มีความรับผิดชอบต่อการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ: กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ให้เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับวิชาชีพในอนาคต 4.1.3 สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ (หากมีกิจกรรมกลุ่ม): สามารถร่วมมือและประสานงานกับเพื่อนร่วมชั้นในการทำกิจกรรมกลุ่มหรือแก้โจทย์ปัญหา (ถ้ามีการจัดกิจกรรมกลุ่มในวิชา) รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองและมีความรับผิดชอบในส่วนที่ได้รับมอบหมายในการทำงานกลุ่ม 4.1.4 มีภาวะผู้นำและผู้ตามที่ดี (หากมีกิจกรรมกลุ่ม): แสดงบทบาทในการเป็นผู้นำหรือผู้ตามที่ดีในการทำงานกลุ่ม ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และหาข้อสรุปที่เหมาะสม ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเพื่อนร่วมชั้นในการเรียนรู้และแก้ปัญหา (โดยไม่นำไปสู่การทุจริต) 4.1.5 มีความเคารพในความแตกต่างและความหลากหลาย: เปิดใจรับฟังความคิดเห็นและวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างจากของตนเอง เคารพสิทธิและให้เกียรติเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ผู้สอน

4.2 วิธีการสอน
ผู้สอนสามารถส่งเสริมทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนดังนี้:

4.2.1 การมอบหมายงานที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบส่วนบุคคล:
กำหนดการบ้านและแบบฝึกหัดที่ชัดเจน พร้อมกำหนดส่งที่แน่นอน เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกวินัยและความรับผิดชอบต่อตนเอง กระตุ้นให้นักศึกษาทบทวนและทำความเข้าใจเนื้อหาด้วยตนเองก่อนเข้าเรียน 4.2.2 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning) (หากเหมาะสมกับเนื้อหา): จัดกิจกรรมกลุ่มเล็กในการแก้โจทย์ปัญหาบางข้อ หรืออภิปรายแนวคิดที่ซับซ้อน เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกการทำงานร่วมกัน การแบ่งปันความรู้ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กำหนดบทบาทหน้าที่ในการทำงานกลุ่ม (ถ้ามี) เพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบต่อกลุ่ม 4.2.3 การส่งเสริมการสื่อสารและการแสดงออก: เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ซักถาม อภิปราย แสดงความคิดเห็น และนำเสนอแนวคิดในชั้นเรียน เพื่อฝึกการสื่อสารและการเคารพความคิดเห็นผู้อื่น สร้างบรรยากาศที่นักศึกษากล้าแสดงความคิดเห็นและยอมรับในความผิดพลาด 4.2.4 การให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะรายบุคคล: ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคลเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ความรับผิดชอบ และแนวทางการพัฒนาตนเอง 4.2.5 การเป็นแบบอย่างที่ดี: ผู้สอนแสดงออกถึงความรับผิดชอบ ความตรงต่อเวลา และการให้เกียรตินักศึกษา เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี

4.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบสามารถทำได้ดังนี้:

4.3.1 การสังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน:
สังเกตการเข้าเรียนตรงเวลา การแต่งกายที่เหมาะสม ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม (ถ้ามี) สังเกตการให้เกียรติผู้อื่น การรับฟังความคิดเห็น และการสื่อสารอย่างมีเหตุผล 4.3.2 ประเมินจากความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย: ประเมินจากการส่งการบ้านและแบบฝึกหัดตรงเวลา ความครบถ้วนสมบูรณ์ของงาน และความพยายามในการทำความเข้าใจโจทย์ ประเมินความซื่อสัตย์ในการทำแบบฝึกหัดและการสอบ 4.3.3 การประเมินตนเองและประเมินเพื่อน (Self and Peer Assessment) (หากมีกิจกรรมกลุ่ม): ให้นักศึกษาประเมินความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วม และบทบาทของตนเองและเพื่อนร่วมกลุ่มในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย 4.3.4 รายงานหรือนำเสนอผลงานกลุ่ม (ถ้ามี): ประเมินความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่มจากการนำเสนอ หรือผลลัพธ์ของงานกลุ่ม
ยอดเยี่ยมครับ เรามาปรับปรุงส่วนสุดท้ายของ มคอ. 3 คือ "5. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับวิชา FUNMA119 และหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมครับ

5. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Numerical Analysis, Communication, and Information Technology Skills)
5.1 ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะที่สำคัญในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลเชิงตัวเลข การสื่อสารแนวคิดทางคณิตศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

5.1.1 ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลขและการตีความข้อมูล (Numerical Analysis and Data Interpretation Skills):
ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางคณิตศาสตร์ ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลทางคณิตศาสตร์เบื้องต้น เพื่อหาข้อสรุปหรือแนวโน้ม ความสามารถในการตีความผลลัพธ์ของการคำนวณทางคณิตศาสตร์และอธิบายความหมายที่เกี่ยวข้อง 5.1.2 ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills): ความสามารถในการสื่อสารแนวคิด หลักการ และวิธีการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง และเป็นระบบ ทั้งในรูปแบบการพูดและการเขียน ความสามารถในการใช้ศัพท์เทคนิคทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ความสามารถในการนำเสนอผลการวิเคราะห์หรือการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ 5.1.3 ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Skills): ความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน หรือเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ เพื่อช่วยในการคำนวณ การสร้างกราฟ การจำลอง หรือการวิเคราะห์ข้อมูล (เช่น Microsoft Excel, โปรแกรมคำนวณทางคณิตศาสตร์เฉพาะทาง หรือเครื่องมือออนไลน์) ความสามารถในการสืบค้นข้อมูลทางคณิตศาสตร์หรือความรู้ที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ
5.2 วิธีการสอน
ผู้สอนสามารถส่งเสริมการพัฒนาทักษะเหล่านี้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนดังนี้:

5.2.1 การมอบหมายงานที่ต้องใช้การวิเคราะห์และตีความตัวเลข:
ให้โจทย์ปัญหาหรือแบบฝึกหัดที่ไม่ได้เน้นแค่การหาคำตอบ แต่ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขที่กำหนดให้ และ/หรือตีความผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ อาจมีโจทย์ที่ให้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรเชิงตัวเลข 5.2.2 การส่งเสริมการนำเสนอและอภิปราย: จัดกิจกรรมให้นักศึกษาได้ฝึกนำเสนอวิธีแก้ปัญหาหรือแนวคิดทางคณิตศาสตร์ในชั้นเรียน ทั้งแบบเดี่ยวหรือกลุ่มย่อย โดยเน้นความชัดเจนในการอธิบายและใช้ภาษาที่ถูกต้อง ส่งเสริมการอภิปรายโจทย์ปัญหา เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกสื่อสารแนวคิดและรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น 5.2.3 บูรณาการการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ: แนะนำและสาธิตการใช้ซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยในการคำนวณทางคณิตศาสตร์ การสร้างกราฟ หรือการจำลองปรากฏการณ์ทางคณิตศาสตร์ (เช่น Microsoft Excel สำหรับการคำนวณเมทริกซ์ หรือการสร้างกราฟ, โปรแกรมทางคณิตศาสตร์เฉพาะทาง เช่น MATLAB/Python libraries เบื้องต้น) มอบหมายงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล การประมวลผล หรือการนำเสนอผลลัพธ์ 5.2.4 การเขียนรายงานหรือสรุปผล: มอบหมายงานที่นักศึกษาต้องสรุปแนวคิด หรือเขียนอธิบายขั้นตอนการแก้ปัญหา โดยเน้นการใช้ภาษาเขียนที่ชัดเจน ถูกต้อง และเป็นระเบียบ
5.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถทำได้ดังนี้:

5.3.1 การประเมินจากการสอบข้อเขียน:
ออกข้อสอบที่วัดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขและการตีความผลลัพธ์ ข้อสอบที่ให้นักศึกษาอธิบายแนวคิด หรือแสดงเหตุผลประกอบคำตอบอย่างเป็นระบบ 5.3.2 การประเมินจากผลงานและรายงาน: ประเมินจากความถูกต้อง ครบถ้วน และความสามารถในการวิเคราะห์เชิงตัวเลขในรายงานหรือผลงานที่ส่ง ประเมินคุณภาพการนำเสนอข้อมูล และการสื่อสารผ่านรูปแบบการเขียน 5.3.3 การนำเสนอผลงาน (Presentation): ประเมินความสามารถในการนำเสนอแนวคิด วิธีการแก้ปัญหา หรือผลการวิเคราะห์เชิงตัวเลขอย่างชัดเจน มีเหตุผล และน่าสนใจ ประเมินทักษะการตอบคำถามและการอธิบายเพิ่มเติม 5.3.4 การประเมินจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ: ประเมินจากความสามารถในการใช้โปรแกรมหรือเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่กำหนดในการแก้ปัญหาหรือนำเสนอผลลัพธ์ในงานที่ได้รับมอบหมาย ประเมินความสามารถในการสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างมีวิจารณญาณ
6.1 ผลการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย ที่ต้องพัฒนา
นักศึกษาควรได้รับการพัฒนาทักษะการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และการประยุกต์ใช้เครื่องมือเพื่อดำเนินการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาต่อในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

6.1.1 สามารถคำนวณและดำเนินการทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ:
แสดงความสามารถในการประยุกต์ใช้สูตร หลักการ และขั้นตอนทางคณิตศาสตร์ที่เรียนรู้มา เพื่อแก้โจทย์ปัญหาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สามารถดำเนินการทางคณิตศาสตร์ในหัวข้อต่างๆ เช่น ตรรกศาสตร์ เซต ระบบจำนวน สมการ เมทริกซ์ ลำดับและอนุกรม ได้อย่างคล่องแคล่วและปราศจากข้อผิดพลาด 6.1.2 สามารถใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ทางคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม: แสดงความสามารถในการเลือกใช้และปฏิบัติการกับเครื่องคิดเลข โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์เฉพาะทางที่ช่วยในการคำนวณ การสร้างกราฟ หรือการตรวจสอบผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ (เช่น Microsoft Excel, โปรแกรมทางคณิตศาสตร์ออนไลน์ หรือภาษาโปรแกรมพื้นฐานสำหรับการคำนวณเบื้องต้น) สามารถจัดรูปแบบและนำเสนอผลลัพธ์การคำนวณได้อย่างเป็นระเบียบและเข้าใจง่าย 6.1.3 สามารถจัดระบบความคิดและแสดงขั้นตอนการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นลำดับ: แสดงความสามารถในการวางแผนและเขียนขั้นตอนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีเหตุผล และสามารถติดตามได้ สามารถนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายผ่านการลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน
6.2 วิธีการสอน
ผู้สอนสามารถส่งเสริมการพัฒนาทักษะพิสัยเหล่านี้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนดังนี้:

6.2.1 การฝึกปฏิบัติและทำแบบฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ:
มอบหมายแบบฝึกหัดที่หลากหลายและมีระดับความยากแตกต่างกัน ทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกฝนการคำนวณและการแก้ปัญหาซ้ำๆ จนเกิดความชำนาญ จัดให้มีการเฉลยและอธิบายขั้นตอนการแก้ปัญหาอย่างละเอียด เพื่อให้นักศึกษาได้ตรวจสอบและทำความเข้าใจกระบวนการที่ถูกต้อง 6.2.2 การสาธิตและการฝึกใช้เครื่องมือ: ผู้สอนสาธิตวิธีการใช้เครื่องคิดเลข หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ จัดกิจกรรมให้นักศึกษาได้ฝึกใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์เหล่านั้นด้วยตนเองในการแก้ปัญหา 6.2.3 การมอบหมายงานที่ต้องแสดงขั้นตอนการทำงาน: ให้การบ้านหรือรายงานที่นักศึกษาต้องแสดงขั้นตอนการคำนวณและการแก้ปัญหาอย่างละเอียด เป็นระเบียบ และสามารถตรวจสอบได้ เน้นย้ำถึงความสำคัญของความถูกต้องและความแม่นยำในทุกขั้นตอน 6.2.4 การสอนแบบสาธิตและทำตาม (Demonstration and Practice): ผู้สอนแสดงตัวอย่างการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนโดยอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด จากนั้นให้นักศึกษาได้ลองทำตามและฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
6.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลทักษะพิสัยจะเน้นการวัดความสามารถในการปฏิบัติ การแก้ปัญหา และการใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

6.3.1 การสอบข้อเขียนที่เน้นการแสดงวิธีทำ:
ออกข้อสอบที่วัดความสามารถในการคำนวณและแก้ปัญหา โดยนักศึกษาต้องแสดงขั้นตอนการทำอย่างละเอียดและเป็นระบบ เพื่อประเมินความถูกต้องและความแม่นยำในกระบวนการคิดและปฏิบัติ 6.3.2 การประเมินจากการทำแบบฝึกหัดและการบ้าน: ประเมินจากความถูกต้องของคำตอบ ความสมบูรณ์ของขั้นตอนการคำนวณ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการนำเสนอผลงาน วัดความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย 6.3.3 การทดสอบปฏิบัติการใช้เครื่องมือ/ซอฟต์แวร์: ประเมินความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ (เช่น การสร้างกราฟ, การใช้ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ใน Excel, การเขียนโค้ดเบื้องต้นเพื่อแก้สมการ) 6.3.4 การประเมินจากผลงานจริง (Product Assessment): ประเมินจากผลลัพธ์ของงานที่นักศึกษาทำ เช่น รายงานการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน หรือโครงงานขนาดเล็ก (ถ้ามี) ซึ่งสะท้อนทักษะการปฏิบัติและการนำเสนอ
แผนที่แสดงการกระจายความรับผิดชอบมาตรฐานผลการเรียนรู้จากหลักสู่รายวิชา (Curriculum Mapping)
กลุ่มวิชา 1.ด้านคุณธรรมจริยธรรม 2.ด้านความรู้ 3.ด้านปัญญา 4. ด้านทักษะ ความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลและความ รับผิดชอบ 5. ด้านทักษะการ วิเคราะห์เชิง ตัวเลข การสื่อสาร และ การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ
ลำดับ รหัสวิชา ชื่อวิชา 1 2 3 4 1 2 3 1 2 1 2 3 4 1 2 3
1 FUNMA119 สถิติสำหรับวิทยาศาสตร์
กิจกรรมที่ ผลการเรียนรู้ * วิธีการประเมินผลนักศึกษา สัปดาห์ที่ประเมิน สัดส่วนของการประเมินผล
1 1.3 มีวินัย ขยัน อดทน ตรงต่อเวลาและความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดล้อม สังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน เช่น การมาเรียนตรงเวลา การส่งงานตรงเวลา ประเมินความขยันและความอดทนจากการทำงานหรือกิจกรรมที่มอบหมาย ให้คะแนนหรือใช้แบบฟอร์มประเมินพฤติกรรม ทุกสับดาห์ 10
2 2.1 มีความรู้และความเข้าใจทั้งด้านทฤษฏีและหลักการปฏิบัติในเนื้อหาที่ศึกษา สอบ 8 และ 16 60
3 4.3 สามารถทำงานเป็นทีมและแก้ไขข้อขัดแย้งได้อย่างเหมาะสม การนำเสนอผลงาน 13,14 15
4 5.2 สืบค้น ศึกษา วิเคราะห์และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม การนำเสนอผลงาน 13,14 15
Larson, R., & Farber, B. (2012). Elementary Statistics (5th Edition). Pearson Education.

 
เอกสารคำสอนที่จัดทำโดยอาจารย์ผู้สอน สื่อการสอนจากเว็บไซต์และระบบ e-Learning ของรายวิชา โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Microsoft Excel, SPSS หรือโปรแกรมฟรี เช่น R